seo ที่ทุกคนเข้าใจง่าย

seo ที่ทุกคนเข้าใจง่าย

SEO หรือ Search Engine Optimization คือแนวทางปฏิบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้มีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) 

1.คำสำคัญ

ระบุคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ เหล่านี้เป็นคำที่ผู้คนมักจะใช้เมื่อค้นหาข้อมูล ใช้คำหลักเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติในเนื้อหาของคุณ

2.คุณภาพของเนื้อหา

สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงและมีคุณค่าที่ตอบสนองความต้องการของผู้ชมของคุณ เนื้อหาควรให้ข้อมูล น่าสนใจ และเข้าใจง่าย

3.SEO บนเพจ

เพิ่มประสิทธิภาพแต่ละหน้าสำหรับเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงการใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องในชื่อเรื่อง ส่วนหัว และคำอธิบายเมตา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณมีโครงสร้างที่ดี

4.โครงสร้าง URL

ใช้ URL ที่ชัดเจนและกระชับซึ่งมีคำหลักที่เกี่ยวข้อง โครงสร้าง URL ที่ชัดเจนช่วยปรับปรุงทั้งประสบการณ์ผู้ใช้และความสามารถในการรวบรวมข้อมูลของเครื่องมือค้นหา

5.การเชื่อมโยงภายใน

เชื่อมโยงหน้าที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจลำดับชั้นและความสัมพันธ์ระหว่างหน้าต่างๆ บนไซต์ของคุณ

6.การออกแบบที่เหมาะกับมือถือ

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับมือถือ เครื่องมือค้นหาจัดลำดับความสำคัญของไซต์ที่เหมาะกับมือถือ และปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้สำหรับผู้เยี่ยมชมที่ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต

7.ความเร็วหน้า

เพิ่มประสิทธิภาพความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ของคุณ หน้าเว็บที่โหลดเร็วขึ้นช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และมีส่วนช่วยในการจัดอันดับเครื่องมือค้นหา

8.ลิงก์ย้อนกลับ

รับลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง ลิงก์ย้อนกลับจากแหล่งที่เชื่อถือได้จะส่งสัญญาณไปยังเครื่องมือค้นหาว่าเนื้อหาของคุณน่าเชื่อถือและมีคุณค่า

9.สัญญาณโซเชียล

มีส่วนร่วมกับผู้ชมของคุณบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แม้ว่าสัญญาณทางสังคมอาจไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจัดอันดับการค้นหา แต่ก็สามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าชมได้

10.การวิเคราะห์

ใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics เพื่อติดตามประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณ ติดตามตัวชี้วัด เช่น การเข้าชม อัตราตีกลับ และอัตราการแปลง เพื่อทำความเข้าใจว่าผู้ใช้โต้ตอบกับไซต์ของคุณอย่างไร

11.ประสบการณ์ผู้ใช้

จัดลำดับความสำคัญของประสบการณ์ผู้ใช้ เว็บไซต์ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดีและใช้งานง่ายจะกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมอยู่นานขึ้น ลดอัตราตีกลับและปรับปรุง SEO

12.SEO ท้องถิ่น

หากมี ให้เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาในท้องถิ่น อ้างสิทธิ์ในรายชื่อ Google My Business ของคุณและรับรองข้อมูลทางธุรกิจที่ถูกต้อง รวมถึงที่อยู่และรายละเอียดการติดต่อ

SEO เป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ และผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลา อัปเดตเนื้อหาของคุณเป็นประจำ ปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในอัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหา และรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม SEO คือการมอบคุณค่าให้กับผู้ชมของคุณ และทำให้เครื่องมือค้นหาค้นพบเนื้อหาของคุณได้ง่าย

กฎระเบียบพื้นฐานทำ SEO ยังไงให้ติดหน้าแรก Google

กฎระเบียบพื้นฐานทำ SEO ยังไงให้ติดหน้าแรก Google

การจะติดหน้าแรกของ Google ต้องใช้ความทุ่มเทและความพยายามเชิงกลยุทธ์ แต่ก็สามารถทำได้!

การเพิ่มประสิทธิภาพในหน้า

1.การวิจัยคำหลัก:

-ระบุคำหลักที่เกี่ยวข้องด้วยปริมาณการค้นหาที่ดีและการแข่งขันต่ำ

-ใช้เครื่องมือเช่นเครื่องมือวางแผนคำหลักของ Google หรือเครื่องมือคำหลัก Ahrefs

2.เนื้อหา:

-สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง ให้ข้อมูล และน่าดึงดูดซึ่งตรงกับจุดประสงค์ในการค้นหาของผู้ใช้

-เพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติด้วยคำหลักที่คุณเลือก แต่หลีกเลี่ยงการใช้คำหลักในทางที่ผิด

-จัดโครงสร้างเนื้อหาด้วยหัวข้อ หัวข้อย่อย และหัวข้อย่อยที่ชัดเจนเพื่อให้อ่านง่าย

3.เทคนิค SEO:

-ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับมือถือและโหลดได้รวดเร็ว

-ส่งเว็บไซต์ของคุณไปที่ Google Search Console

-เพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อ คำอธิบายเมตา และส่วนหัวด้วยคำหลักที่เกี่ยวข้อง

-สร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่ชัดเจนและรวบรวมข้อมูลได้พร้อมลิงก์ภายใน

การเพิ่มประสิทธิภาพนอกหน้า

1.ลิงก์ย้อนกลับ

-รับลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มเฉพาะของคุณ

-การเขียนบล็อกของผู้เยี่ยมชม การส่งไดเร็กทอรี และการสร้างลิงก์ที่เสียหายเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้

2.SEO ท้องถิ่น

-หากคุณมีธุรกิจในท้องถิ่น ให้อ้างสิทธิ์และเพิ่มประสิทธิภาพรายชื่อ Google My Business ของคุณ

-ส่งเสริมการวิจารณ์เชิงบวกของลูกค้า

3.สื่อสังคม

-โปรโมตเนื้อหาและเว็บไซต์ของคุณบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

-มีส่วนร่วมกับผู้ชมของคุณและสร้างความสัมพันธ์

เคล็ดลับการมีส่วนร่วมกับผู้ชมของคุณและสร้างความสัมพันธ์

มุ่งเน้นที่ประสบการณ์ผู้ใช้: จัดลำดับความสำคัญของความชัดเจน การนำทาง และการเข้าถึง

อัปเดตอยู่เสมอ: อัลกอริธึมของ Google พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ติดตามความคืบหน้าของคุณ: ติดตามอันดับเว็บไซต์ของคุณและวิเคราะห์ข้อมูลการเข้าชม

อดทน: ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างสม่ำเสมอเพื่อดูผลลัพธ์ที่สำคัญ

โปรดจำไว้ว่า SEO คือการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง การปฏิบัติตามกฎพื้นฐานเหล่านี้และปรับกลยุทธ์ของคุณเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่หน้าแรกอันเป็นที่ต้องการของ Google

ทำ seo ยังไงให้เห็นผลไว

ทำ seo ยังไงให้เห็นผลไว

ไม่มีวิธีที่รับประกันว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วจาก SEO แต่มีบางสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มโอกาส

1.เลือกคำหลักที่เหมาะสม: เมื่อคุณเลือกคำหลักที่เหมาะสมเพื่อกำหนดเป้าหมายสำหรับเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของคุณเพื่อให้มีอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาสำหรับคำหลักเหล่านั้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องกับผู้ชมเป้าหมายของคุณและมีปริมาณการค้นหาสูง

2.สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง: เนื้อหาของคุณเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับ SEO ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณให้ข้อมูล เขียนได้ดี และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ใช้คำหลักตลอดเนื้อหาของคุณ แต่อย่าใช้คำหลัก

3.เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับมือถือ: ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเพื่อค้นหาเว็บ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่

4.สร้างลิงก์ย้อนกลับ: ลิงก์ย้อนกลับคือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นไปยังเว็บไซต์ของคุณ ลิงก์ย้อนกลับเป็นสัญญาณไปยังเครื่องมือค้นหาว่าเว็บไซต์ของคุณเชื่อถือได้และน่าเชื่อถือ มีหลายวิธีในการสร้างลิงก์ย้อนกลับ เช่น การเขียนบล็อกของผู้เยี่ยมชม การตลาดบนโซเชียลมีเดีย และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์

5.ใช้เครื่องมือ SEO: มีเครื่องมือ SEO มากมายที่สามารถช่วยคุณติดตามความคืบหน้าและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับเครื่องมือค้นหา เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยคุณในการค้นคว้าคำหลัก การวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับ และการทดสอบความเร็วเว็บไซต์

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า SEO เป็นกลยุทธ์ระยะยาว ต้องใช้เวลาและความพยายามเพื่อดูผลลัพธ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ คุณจะสามารถเพิ่มโอกาสในการเห็นผลลัพธ์จาก SEO ได้อย่างรวดเร็ว

เคล็ดลับเพิ่มเติมบางส่วนที่คุณสามารถปฏิบัติตามเพื่อดูผลลัพธ์ที่รวดเร็วจาก SEO

1.มุ่งเน้นไปที่ผู้ชมเป้าหมายของคุณ เมื่อคุณสร้างเนื้อหา ให้คำนึงถึงผู้ชมเป้าหมายของคุณ พวกเขากำลังมองหาอะไร? จุดปวดของพวกเขาคืออะไร? เขียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์กับพวกเขา

2.ใช้โซเชียลมีเดีย โซเชียลมีเดียเป็นวิธีที่ดีในการโปรโมตเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณ แบ่งปันเนื้อหาของคุณบนโซเชียลมีเดียและมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามของคุณ

3.ลงโฆษณาแบบเสียเงิน โฆษณาแบบเสียเงินช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ชมได้กว้างขึ้น และทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏต่อผู้คนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่ายอย่างมีกลยุทธ์และติดตามผลลัพธ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณเห็นว่าสิ่งใดได้ผลและสิ่งใดไม่ได้ผล

4.อดทน SEO ต้องใช้เวลา อย่าหวังว่าจะเห็นผลในชั่วข้ามคืน แค่ลงมือทำไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นผลในที่สุด

6 ข้อบกพร่องที่ทำให้ SEO บนเว็บไซต์ขายของไม่ประสบความสำเร็จ

6 ข้อบกพร่องที่ทำให้ SEO บนเว็บไซต์ขายของไม่ประสบความสำเร็จ

ปัญหาที่คนเปิดเว็บไซต์ขายของประสบกันอยู่เป็นประจำก็คือ การทำ SEO หรือการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้กูเกิ้ลแสดงผลในลำดับต้น ๆ แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ปัจจัยที่ทำให้การทำ SEO แล้วไม่สำเร็จดั่งใจต้องการนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ เราต้องไม่ลืมว่าการจะทำให้อันดับเว็บไซต์ไปปรากฏบนจอกูเกิ้ลหน้าแรก ๆ ได้นั้นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ดังนั้นการทำ SEO ให้ได้ผลดีทั้งยอดขายและชื่อเสียง จึงต้องคำนึงถึงเรื่องต่าง ๆ แบบครบองค์รวม แม้มีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ล้วนส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ได้ทั้งนั้น และนี่คือสิ่งที่เราต้องพิจารณาดูเมื่อพบว่าการทำ SEO ที่ผ่านมายังไม่ได้ผลตามที่ต้องการ

1.เว็บไซต์มีหน้าภายในเยอะเกินไป
หลายเว็บไซต์ใส่ข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากเกินไป หรือบางครั้งข้อมูลสินค้าที่จำหน่ายก็ซ้ำกัน จนทำให้ภายในเว็บไซต์มีจำนวนหน้าที่เยอะเกินไปแบบที่ระบบอัลกอริทึ่มของกูเกิ้ลวิเคราะห์ออกมาว่าเป็นเนื้อหาซ้ำซ้อนหรือคุณภาพต่ำ

2.มีข้อมูลไร้สาระปะปนอยู่
สิ่งที่กูเกิ้ลให้ความสำคัญมาก ๆ ในการเลือกแสดงผลไล่เลียงอันดับเว็บไซต์ ก็คือความน่าเชื่อถือของข้อมูล การนำข้อมูลที่ได้มาจากการคัดลอก หรือเป็นข้อมูลที่อาจถูกกูเกิ้ลตีความว่าไร้ประโยชน์มาใส่ในเว็บไซต์ จึงมีผลต่อการจัดอันดับทั้งสิ้น

3.เว็บไซต์หนักไปจนดาวน์โหลดได้ช้ามาก
บางเว็บไซต์ที่อัดแน่นไปด้วยไฟล์ภาพขนาดใหญ่ จะทำให้การดาวน์โหลดแต่ละครั้งใช้เวลานาน เท่ากับเป็นสร้างประสบการณ์ที่ไม่ประทับใจแก่ผู้ใช้งาน ซึ่งจะทำให้กูเกิ้ลลดค่าคะแนนการจัดอันดับได้ในที่สุด

4.ไม่รองรับการแสดงผลบนโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน
ปัจจุบันนี้การท่องเว็บไซต์เกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟนเป็นหลัก ดังนั้นเว็บไซต์ใดที่ไม่ได้ออกแบบให้รองรับการแสดงผลบนสมาร์ทโฟน จะเกิดปัญหา คือ ผู้ใช้งานไม่อยากเข้าใช้บริการ จนอาจถูกลดอันดับการแสดงผลจากกูเกิ้ลได้

5.อัดคีย์เวิร์ด (Keyword) จนเกินพอดี
แน่นอนว่าสิ่งแรก ๆ ที่คนทำ SEO มักจะต้องทำ ก็คือ การสร้างบทความให้มีคำสำคัญในการค้นหาหรือ Keyword เยอะ ๆ เพื่อที่ให้ระบบของกูเกิ้ลดันอันดับการค้นหาไปยังหน้าแรก ๆ แต่บางครั้งการใส่ Keyword ที่ถี่เกินไปกลับสร้างผลเสียมากกว่า เพราะถูกระบบอัลกอริทึ่มของกูเกิ้ลอ่านว่าเป็นสแปม จนถูกลดอันดับได้เช่นกัน

6.ทำแบ็คลิงก์ (Backlink) พิสดารผิดธรรมชาติ
การสร้างลิงก์เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนทำ SEO ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ แต่การทำลิงก์ที่ได้ผล คือ ลิงก์ตามรูปแบบมาตรฐาน ไม่ใช่การสร้างลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติตามที่ต่าง ๆ เพื่อหวังให้คนกดเข้ามาโดยไม่เต็มใจ แบบนี้จะถูกมองจากระบบว่าทำไม่ถูกต้อง

การทำ SEO ให้ได้ผลดี ต้องใช้ทั้งความใส่ใจในรายละเอียด ความอดทนและการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค หากเว็บไซต์ใดทำได้ การขายของผ่านระบบอินเทอร์เน็ตก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

SEO ช่วยธุรกิจคุณได้อย่างไร

SEO ช่วยธุรกิจคุณได้อย่างไร

เชื่อว่าหลายคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่นิยมทำกันเพื่อเป็นตัวช่วยหาลูกค้าหรือเพื่อให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก็คือการทำเว็บไซต์ ซึ่งจริง ๆ แล้ว การมีเว็บไซต์ทำได้ไม่ยาก ใคร ๆ ก็มีได้ ปัญหามีอยู่ว่า เมื่อเรามีเว็บไซต์แล้ว ทำอย่างไรให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่รู้จัก ได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาใน Google ต่างหาก

การทำ SEO คือคำตอบ

เว็บไซต์ใดที่ไม่ได้มีทำ SEO หรือทำ SEO ไม่ดีหรือไม่เต็มที่ หรือเป็นเว็บที่ Google ยังมองว่า ไม่เป็นประโยชน์เท่ากับอีกหลาย ๆ เว็บ Google Bot ก็จะไม่นำเข้าในลิสต์ ผลการค้นหาก็จะไม่ถูกนำไปแสดง หรืออาจจะแสดงก็ได้ แต่แสดงในตำแหน่งหรือลำดับที่ไกลมาก คนตามเข้าไปคลิกไม่ถึง

ดังนั้น SEO จึงสำคัญและจำเป็นมากที่คนทำธุรกิจร้านค้าออนไลน์ไม่อาจมองข้าม เพราะการทำ SEO จะเป็นเสมือนการบอกกล่าวหรือแนะนำธุรกิจของเราให้ทุกคนได้รู้จัก ประมาณว่ามีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ชื่อนี้อยู่ในโลกใบนี้ด้วยนะ ซึ่งแน่นอนเป็นการสร้างความคุ้นเคยและเพิ่มโอกาสในการขายให้เรานั่นเอง การทำ SEO จึงเปรียบเสมือนการเตรียมหน้าร้านหรือเว็บไซต์ของเราให้พร้อมที่สุดสำหรับการค้าขายออนไลน์

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ถ้าต้องการทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จ มีคนเข้าไปดูมากมาย, SEO เป็นสิ่งที่คุณจะมองข้ามไม่ได้เลย

การทำ SEO คืออะไร

การทำ SEO คือ การทำเนื้อหาของเว็บไซต์หรือวิธีการทางเทคนิคเพื่อให้เว็บไซต์ของเราได้แสดงอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาบน Google Search โดย Search Engine (Google, Yahoo หรือ Bing)จะเข้ามาอ่านและนำไปจัดลำดับ ซึ่งแน่นอนว่า เจ้าของธุรกิจต่างก็ต้องการให้เว็บไซต์ของตนได้อยู่ในลำดับต้น ๆ เพราะยิ่งอยู่ลำดับแรก ๆ เท่าไหร่ โอกาสที่จะมีคนคลิกเข้าดูก็จะมากขึ้นเท่านั้น นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะการทำ SEO เราไม่ต้องเสียเงินให้ Google เลย เพียงแต่เราต้องคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ Google ได้จัดลำดับเว็บไซต์ของเราเป็นตำแหน่งแรก ๆ เท่านั้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า เว็บของเรามีคุณภาพแค่ไหน คอนเทนต์น่าสนใจเพียงใด มีจำนวน Keyword เหมาะสมพอที่ Google จะนำไปจัดลำดับหรือไม่นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเมื่อเราทำ SEO แล้ว เว็บไซต์ของเราจะขึ้นไปอยู่หน้าแรกในทันทีทันใด เพราะกว่าที่เว็บไซต์ของเราจะขึ้นไปอยู่ลำดับต้น ๆ ได้ ต้องใช้เวลานับเดือน ดังนั้น เจ้าของธุรกิจหากคิดจะทำ SEO ก็ควรทำได้เลยทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้มีเว็บไซต์ก่อนก็ได้ ส่วนคนที่มีเว็บไซต์อยู่แล้ว เมื่อทำ SEO ก็ให้ใจเย็น ๆ อย่าลืมว่าการที่เว็บใดเว็บหนึ่งจะถูกเลื่อนอันดับได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งระยะเวลาและการทำงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อไหร่ที่ Google เห็นว่าเว็บนั้น ๆ มีศักยภาพ ก็จะค่อย ๆ เลื่อนลำดับตำแหน่งหน้าเว็บขึ้นมาให้เองเรื่อย ๆ จนถึงหน้าแรกสุด (ลำดับ 1-10) ซึ่งแน่นอนว่าตำแหน่งบนสุดคือตำแหน่งที่ทุกธุรกิจต่างแย่งชิง

ในโลกของการแข่งขัน มีหลายหนทางที่จะช่วยทำให้ธุรกิจของคุณนำหน้าคู่แข่งได้ และยืนอยู่บนโลกธุรกิจได้อย่างองอาจเข้มแข็ง เว็บไซต์ SEO คือหนทางหนึ่งที่ช่วยคุณได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม อย่าลืมศึกษาหาความรู้และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ถูกต้องและมั่นใจ เพราะโลกธุรกิจคือโลกของผู้รู้จริงเท่านั้น

แจกกลยุทธ์ 5 ข้อสำหรับการทำ SEO เพื่อการตลาดออนไลน์ที่ได้ผล

แจกกลยุทธ์ 5 ข้อสำหรับการทำ SEO เพื่อการตลาดออนไลน์ที่ได้ผล

ปัจจุบันการทำธุรกิจเกิดการแข่งขันที่รุนแรง ต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา รวมทั้งข้อมูลของสินค้าและบริการจะต้องส่งตรงถึงผู้บริโภคด้วยความรวดเร็ว ดังนั้นการทำการตลาดออนไลน์จึงถือเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ตัวช่วยที่ได้ผล มีประสิทธิภาพ และไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากมายคือการทำให้ข้อมูลสินค้าหรือบริการติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหาในกูเกิ้ล (Google) หรือที่เรียกว่า SEO นั่นเอง วันนี้เราจะมาแจกกลยุทธ์การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพเพื่อการทำการตลาดออนไลน์ที่ได้ผลกัน

SEO หรือ Search Engine Optimization คือกระบวนการบนโลกออนไลน์ที่จะทำให้ผู้บริโภคสามารถมองเห็นเว็บไซต์ของธุรกิจ ได้ทำความรู้จักสินค้าหรือบริการ ตลอดจนเกิดการซื้อขายสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้จากการมองเห็นข้อมูลของเว็บไซต์ของธุรกิจจากการค้นหาในกูเกิ้ล (Google) ซึ่งสาเหตุที่ธุรกิจต้องทำ SEO เพราะปัจจุบันเมื่อผู้บริโภคต้องการค้นหาสินค้าหรือบริการใดก็จะเข้าไปค้นหาในกูเกิ้ล (Google) เป็นหลัก ดังนั้นธุรกิจจึงต้องทำ SEO ให้ดีโดยใช้กลยุทธ์ดังนี้

1.ทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจเป็นที่รู้จักต่อกลุ่มเป้าหมายด้วยการใช้คีย์เวิร์ด (Keyword) ที่สั้น กระชับ และตรงกับชื่อสินค้าหรือบริการของเรา เช่น ขายอาหารคลีน ก็ใช้คีย์เวิร์ดว่า อาหารคลีนราคาถูก ก็ได้ เพื่อให้นักท่องออนไลน์ทั้งหลายหาเว็บไซต์ธุรกิจให้เจอและได้มีโอกาสคลิกเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของธุรกิจได้

2.อันดับต่อมาเมื่อมีคนเข้ามาเห็นเว็บไซต์ของธุรกิจแล้วก็ต้องทำให้คนๆ นั้นสนใจกับเว็บไซต์ของธุรกิจให้นานและมากที่สุดโดยอาจใช้การออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้น่าสนใจ มีลูกเล่น หรือมีคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคเพื่อให้เขารู้จักตัวตนของธุรกิจส่วนจะใช้บริการหรือซื้อสินค้าหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมทางการตลาดที่แสดงอยู่บนหน้าเว็บไซต์ว่ามีความน่าสนใจและดึงดูดใจผู้บริโภคมากแค่ไหน

3.การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าจะไม่ใช่การสักแต่ขายของเพียงอย่างเดียว แต่การสร้างแบรนด์ให้เกิดขึ้นในใจของผู้บริโภคต่างหากที่สำคัญมากกว่า ดังนั้นเมื่อผู้บริโภคเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ของเราแล้ว เราก็ต้องให้อะไรที่เป็นประโยชน์กับเขาตอบแทนบ้าง เช่น ประโยชน์ของสินค้าหรือบริการที่แบรนด์ของเราทำอยู่ก็ได้ ซึ่งไม่ใช่การดึงเขาไว้เพื่อการขายของเป็นอันดับแรก

4.การขายของจะเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้บริโภครู้จักธุรกิจเพียงพอ เวลานี้จึงเป็นโอกาสเหมาะที่ธุรกิจสามารถโฆษณาถึงคุณสมบัติและประโยชน์หรือสิ่งที่ผู้บริโภคจะได้รับอย่างเต็มที่ ทางเลือกอีกข้อคือการทำ Google Adwords หรือก็คือการซื้อโฆษณาเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงธุรกิจได้ง่ายขึ้นก็ได้

5.สุดท้ายธุรกิจต้องมีการกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีการบอกต่อสินค้าหรือบริการของธุรกิจด้วยการรีวิวเพิ่มกิจกรรมส่งเสริมการขายเข้าไปก็ได้ ธุรกิจก็จะเป็นที่รู้จักและถูกบอกต่อไปเรื่อยๆ ทำให้คนรู้จักธุรกิจได้มากขึ้น

ในยุคที่ออนไลน์นำการใช้ชีวิตของผู้คนแบบนี้ การทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO ที่มีประสิทธิภาพถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจจะต้องใส่ใจเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ยั่งยืนมากขึ้น

SEO voice search มาแน่ เตรียมคอนเทนต์อย่างไรให้หาง่าย

SEO voice search มาแน่ เตรียมคอนเทนต์อย่างไรให้หาง่าย

โลกยุคดิจิทัล การทำ SEO เพื่อส่งเสริมการทำการตลาดออนไลน์ หรือ Digital Marketing เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเครื่องมือค้นหา เช่น Google มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอันทันสมัยที่มาพร้อมปัญญาประดิษฐ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุมและครบวงจรมากขึ้น ซึ่งการตลาดออนไลน์โดยเฉพาะการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ที่หวังผลบน Google นั้น สามารถทำได้หลายวิธี และ Voice Search ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่กำลังเป็นเป็นที่นิยมมากขึ้น และเราควรเตรียมคอนเทนต์อย่างไร ให้ค้นหาได้ง่ายและสอดคล้องกับหลักการของ SEO มากที่สุด

หลายปีมานี้กระแสการทำธุรกิจออนไลน์มีการปรับตัวในทุกทิศทุกทางเนื่องจากภาวะการแข่งขันทางการตลาดที่สูงมากขึ้น ความต้องการที่ไม่รู้จบของผู้ซื้อ นำมาซึ่งการพัฒนาระบบการค้นหาสิ่งของ เรื่องราว บุคคลและสินค้าด้วยเสียงหรือ Voice Search ซึ่งได้ถูกพัฒนาขึ้นด้วยความฉลาดในระบบ AI ของ Google ช่วยให้ผู้ซื้อทั่วโลกสามารถใช้ภาษาต่าง ๆ ในการค้นหาสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาไทย โดยข้อมูลของ Google ในปี 2016 ระบุอัตราการเติบโตของการใช้ Voice Search อยู่ที่ 20% จนกระทั่งในปี 2020 พบว่าความนิยมในการค้นหาด้วยเสียงเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของการค้นหาทั้งหมด นั่นย่อมเป็นการการันตีได้ว่า Voice Search เป็นเทรนด์แห่งยุคสมัยปัจจุบัน

ดังนั้นธุรกิจออนไลน์ และการทำการตลาดออนไลน์จึงควรเตรียมพร้อมดังต่อไปนี้

1.เรียนรู้และทำความเข้าใจในความแตกต่างที่แท้จริง ระหว่าง Text Search และ Voice Search ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เช่น การค้นหาด้วย Text Search จะสั้นกว่า โดยเฉลี่ยใช้คำตั้งแต่ 1-3 คำเป็นอย่างต่ำ แต่สำหรับการค้นหาแบบ Voice Search นั้นจะใช้การค้นหาเป็นคำหรือประโยคที่ยาวกว่า Text Search ตัวอย่างเช่น เราจะพิมพ์หาร้านกาแฟ เริ่มจาก “กาแฟสดใกล้บ้าน” สำหรับ Voice Search เราสามารถพูดเป็นประโยคยาว ๆ ได้เช่น “ ร้านกาแฟสดที่ใกล้บ้าน…ในหมู่บ้าน….” ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งทำให้ค้นหาได้ละเอียดมากขึ้นในครั้งเดียว

2.การเขียน Content เพื่อรองรับ Voice Search จำเป็นต้องเขียนแบบประโยคสนทนา (Conversation) ที่สามารถตอบคำถามที่ผู้ซื้อให้ความสนใจได้อย่างชัดเจน และเข้าใจง่าย ยกตัวอย่างด้วยเช่น “กาแฟร้าน A มีโปรชันมั้ย” หรือ “รองเท้าวิ่งยี่ห้อ B ดีไหม” เป็นต้น ซึ่งฟังดูคล้ายกับการตั้งคำถามของผู้ซื้อ แล้วจึงทำบทความที่นำประโยคดังกล่าวสอดแทรกไปกับเนื้อหาพร้อมกับให้คำตอบที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อ

3.กำหนดโครงสร้างของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ของสินค้าและบริการให้ชัดเจน เพื่อเอื้อต่อระบบ Search Engine ให้สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับประโยคในการค้นหาผ่าน Voice Search ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่กำลังเปลี่ยนไปสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ซึ่งพบว่าคนส่วนใหญ่พึ่งพาการค้นหาด้วยเสียงมากขึ้นระหว่างการออกกำลังกาย การทำอาหาร การขับรถ อาบน้ำ และทำรายงาน ดังนั้น คอนเทนต์ที่ต้องการเน้นเรื่อง SEO จึงต้องเขียนให้ครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่กว้างและหลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย

ในอนาคต Voice Search อาจได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้มีความสามารถในการจดจำเสียงของผู้ใช้บริการได้ ทั้งนี้เพื่อให้การค้นหาสินค้าและหรือบริการได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและตรงประเด็นมากที่สุด

การทำ SEO สำคัญอย่างไร

การทำ SEO สำคัญอย่างไร

การขายของออนไลน์ในยุคปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง มีความนิยมเปิดเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังไวรัสโควิดระบาดที่คนเก็บตัวอยู่บ้านและมีพฤติกรรมซื้อสินค้าต่าง ๆ ทางอินเทอร์เน็ตให้จัดส่งถึงบ้านเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคการตลาดที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เนื่องจากเป็นการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการใช้งานของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีการดาวน์โหลดปลั๊กอินต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการขาย เช่น ระบบ woocommerce ร่วมกับประเด็นสำคัญ คือ การใส่เนื้อหาในเว็บไซต์ที่คัดเลือก keyword มาเป็นอย่างดี วางตำแหน่งกระจายในส่วนต่าง ๆ ทำให้มีโอกาสถูกสืบค้นได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ระบบอัลกอริทึมของกูเกิ้ลมาเก็บข้อมูลไปวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์ หากคะแนน SEO สูงจะทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับบน ๆ เมื่อคนค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้น ๆ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

การทำ SEO สำคัญต่อการเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้า เว็บไซต์ที่มีการทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการอัปเดตบทความใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า โดยมีแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ การใช้รูปภาพที่ส่งเสริมการขายแบบไม่ผิดลิขสิทธิ์ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ SEO อันดับดียิ่งขึ้น รวมถึงการทำลิงก์เชื่อมโยงระหว่างเพจคุณภาพดีต่าง ๆ ที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีคนรู้จักมากขึ้นหรือมีฐานผู้นิยมกว้างยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลบวกโดยตรงต่อการอยู่รอดของธุรกิจทุกประเภท

การทำ SEO สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองหรืออาจจะใช้บริการรับทำเว็บไซต์ SEO ของบริษัทเอกชนที่มีอยู่มากมาย โดยจ้างตามระยะสัญญา 6 เดือนถึงหนึ่งปี ซึ่งควรเลือกจากบริษัทที่ไว้ใจได้ มีผลงานชัดเจนเป็นมืออาชีพ จะช่วยให้ไม่พลาดโอกาสแข่งขันทางธุรกิจกับเว็บไซต์คู่แข่ง และทำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำเว็บไซต์หรือแบรนด์สินค้าของคุณได้อย่างรวดเร็ว

ในกรณีที่คุณมองหาช่องทางประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดแนะนำว่าการทำ SEO จะตอบโจทย์ในประเด็นนี้ได้อย่างดี เพราะไม่มีผู้ใดสามารถผูกขาดอันดับเว็บไซต์ได้จากการที่ระบบ algorithm ทำงานอย่างซับซ้อน ขอเพียงทำ SEO ตามระบบที่กูเกิ้ลแนะนำแนวทางไว้ ก็สามารถลดต้นทุนในการทำธุรกิจออนไลน์ด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปได้เดือนละหลายหมื่นบาท และหากคุณมีแนวคิดจะทำเว็บไซต์เพื่อจำหน่ายต่อ การทำ SEO ก็ยิ่งมีความสำคัญ เนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อสถิติการเข้าชมเว็บไซต์ ยิ่งมีค่าสถิติที่ดี ก็จะทำให้ขายได้ราคาสูงมากขึ้นตามไปด้วย

จะเห็นได้ว่า การทำเว็บไซต์ SEO นั้นเป็นเรื่องจำเป็นในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพื่อการขายสินค้าออนไลน์หรือเพื่อการจำหน่ายตัวเว็บไซต์เองในอนาคต ขอเพียงตั้งใจทำตามระบบที่ Google แนะนำ ก็จะประสบความสำเร็จได้ในไม่ช้าอย่างแน่นอน

ทำไมการทำ SEO ต้องทำทุกวัน

ทำไมการทำ SEO ต้องทำทุกวัน

SEO เป็นการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง ที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างการโฆษณาผ่าน Google อาศัยความสม่ำเสมอในการทำและเรียนรู้หลักการที่ถูกต้อง แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยว่า ทำไมจึงต้องทำ SEO ทุกวัน

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลมาเป็นคำตอบให้คุณ

  1. ทุกเว็บไซต์ต่างแข่งขันกันทำ SEO

การทำ SEO หรือ search engine optimization เป็นสิ่งที่ Google ได้กำหนดไว้หลายปีแล้ว เพื่อให้เกิดการจัดลำดับในการนำเสนอเว็บไซต์ที่มีคุณภาพจากสูงไปต่ำ เพื่อให้ผู้ใช้งาน Google มีความประทับใจและกลับมาใช้งาน Google บ่อย ๆ ดังนั้น หากเว็บไซต์ของคุณทำ SEO ก็จะทำให้มีโอกาสถูกจัดอยู่ในอันดับ Top 3 หรือ Top 5 ของหน้าต่างการสืบค้นด้วย keyword นั้น ๆ

ทุกเว็บไซต์ต่างแข่งขันในการทำเช่นนี้ เพื่อให้มีโอกาสได้ปรากฏชื่อด้านบน ทำให้มีลูกค้ามาคลิกเข้าไปอ่านข้อมูลในเว็บไซต์ แล้วสั่งซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของตัวเอง หากคุณไม่พัฒนาเว็บไซต์ตามแนวทาง SEO ก็จะทำให้พลาดโอกาสในการขยายธุรกิจและส่งผลต่อการประสบความสำเร็จในระยะยาวด้วย

  1. ให้สอดคล้องกับการเก็บข้อมูลของระบบ algorithm ใน Google

ระบบเก็บข้อมูลจากอัลกอริทึมของ Google จะทำเป็นระยะ ๆ ถ้าคุณศึกษาอย่างละเอียด จะพบว่ามีอยู่หลายชนิดมากที่ใช้ในการประเมินคุณภาพเว็บไซต์ทุกประเภท เช่น

  • ระบบตรวจจับลิขสิทธิ์ การลอกเลียนข้อมูลทั้งรูปภาพและเนื้อความจากเว็บไซต์อื่น
  • การใช้สแปม keyword หรือใส่คำสำคัญบ่อยครั้งมากเกินไป จนอ่านแล้วไม่ได้ความหมายที่ถูกต้อง
  • การทำ Link เชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์ที่คุณภาพต่ำหรือที่เรียกว่าเป็น Backlink ที่ไม่มีคุณค่า เป็นต้น

ที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ระบบของ Google สามารถตรวจจับได้อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณไม่มีการแก้ไขความผิดพลาดของโพสต์ที่ผ่านมาหรือไม่ควบคุมเนื้อหาที่กำลังเพิ่มเติมใหม่เรื่อย ๆ ก็จะไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน SEO ทำให้อันดับการสืบค้นของคุณต่ำลงไปเรื่อย ๆ

  1. ต้องแข่งกับคู่แข่งที่มีการทำโฆษณา SEM ด้วย

SEM หรือ search engine marketing เป็นการประมูลพื้นที่ด้านบนของหน้าจอการสืบค้น Google หรือ SERPs ที่ย่อมาจาก search engine result pages ซึ่งจะแทรกอยู่ในด้านบนหรือด้านล่างของหน้าผลการค้นหา ถ้าคุณไม่ทำ SEO ให้เว็บไซต์ นอกจากอันดับแบบออร์แกนิคที่คุณจะได้รับ จะยิ่งต่ำลงไปแล้ว โอกาสถูกปรากฏให้เห็นต่อสายตาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายก็จะยิ่งน้อยลงไป เพราะมีกลุ่มคู่แข่งที่ทำ SEM โฆษณามาสร้างความสนใจมากกว่าอีกด้วย

จากที่กล่าวมา คงเห็นแล้วว่า การทำ SEO เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำทุกวันเป็นประจำ และไม่สามารถมองข้ามรายละเอียดเกณฑ์กติกาที่ Google กำหนดได้ เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านที่ทำเว็บไซต์ออนไลน์ตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาคุณภาพของการทำ SEO ของตัวเองยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าและจำนวนลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

บทบาทความสำคัญของ SEO ที่ธุรกิจออนไลน์ควรมี

บทบาทความสำคัญของ SEO ที่ธุรกิจออนไลน์ควรมี

หากเป็นนักธุรกิจออนไลน์คงน่าจะเคยผ่านหูผ่านตาหรือได้ยินเกี่ยวกับเรื่องการทำ SEO กันมาบ้างแล้ว ตัวช่วยอย่างง่าย ๆ ที่จะสามารถช่วยให้เว็บไซต์สินค้าและบริการนั้นถูกค้นพบเป็นอันดับแรกเมื่อเกิดการค้นหาจากคำค้นหา หรือที่เรียกว่า Keyword

SEO หรือที่ย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization เป็นวิธีการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ด้วย Content หรือบทความ ผ่านการค้นหาจาก Keyword เมื่อใดที่ผู้ชมสนใจค้นหาและพิมพ์คีย์เวิร์ดนั้นลงไป Google ก็จะแสดงหน้าเว็บไซต์ที่ติดอันดับขึ้นมาให้เลือกชมก่อนทันที เจ้าของเว็บไซต์จึงมีหน้าที่ในการทำอย่างไรก็ได้ให้หน้าเว็บไซต์ของตัวเองติดอันดับ SEO เมื่อมีการค้นหา และเมื่อติดอันดับแล้ว ผู้ชมก็จะเข้ามาชมเว็บไซต์และนำไปสู่การซื้อสินค้าและบริการนั่นเอง ซึ่งการทำ SEO นั้นถือว่าจำเป็นและมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์อย่างมาก อาทิเช่น

  1. สามารถจับกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด

ผู้ชมที่ทำการค้นหาข้อมูลโดยใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหา ถือว่ามีจุดประสงค์ความต้องการในสินค้าหรือบริการประเภทนั้นอยู่ก่อนแล้ว จะช่วยทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถจับกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

  1. เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น

แน่นอนว่าเมื่อใดที่เว็บไซต์ถูกจัดอันดับ SEO ลำดับต้น ๆ จะยิ่งเป็นการดึงดูดความสนใจให้ผู้ชมเข้ามามากยิ่งขึ้น เพราะเว็บไซต์อันดับต้นถือเป็นเว็บไซต์ที่มีโอกาสถูกคลิกมากที่สุด จากผลการประเมินทางสถิติ เว็บไซต์ที่แสดงในอันดับแรก รวมถึงเว็บไซต์อื่น ๆ ที่แสดงอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหา จะดูมีความน่าเชื่อถือ และทำให้เกิดความน่าสนใจมากกว่าเว็บไซต์อื่นในหน้ารอง ๆ ลงไป

  1. สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา

บนโลกของคำว่าออนไลน์ ไม่มีจุดจบหรือจุดสิ้นสุด ทุกสิ่งอย่างสามารถเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา หากอยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ก็สามารถทำได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและเวลาใด การบริหารจัดการเกี่ยวกับการปรับแต่งการทำ SEO จึงขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของเว็บไซต์เอง บนเงื่อนไขระยะเวลาและรูปแบบที่เจ้าของต้องการ

  1. ลดภาระค่าใช้จ่ายในการโฆษณา

หากสามารถสร้างเว็บไซต์ที่แสวงหาผู้ซื้อสินค้าและบริการได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องไปเสียเงินจ้างผู้อื่นโฆษณาให้อีกอย่างนั้นหรือ การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับ SEO ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละบุคคลเสียมากกว่า ยอมเสียเวลาในการทำ SEO เองน่าจะคุ้มค่ากว่าจะต้องเสียเงินจ้างโฆษณา หากมองในระยะยาวแล้ว ทราฟฟิกที่มาตามธรรมชาติจะยั่งยืน ประหยัด และคุ้มค่ากว่าการโฆษณาทางตรง แต่ทั้งนี้ไม่ใช่หมายความว่าจะไม่ลงโฆษณาเลย เพราะโฆษณามีประโยชน์ในการเรียกผู้ชมให้มากขึ้นได้ในเวลาที่ต้องการ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลจับจ่ายปลายปี

นักธุรกิจหลายคนอาจจะมองว่า ปัจจุบันมีเพียง Facebook, Instagram และ Twitter ก็น่าจะเพียงพอต่อการค้าขายบนโลกออนไลน์แล้ว แต่ความจริงแล้วมันยังไม่พอ เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ที่อยากจะค้นหาข้อมูลใด ๆ ก็ตาม มักจะเลือกเข้าเว็บไซต์เพื่อค้นหาข้อมูลจาก Google ก่อนที่จะค้นหาตาม Application เหล่านั้น ดังนั้น หากทำให้เว็บไซต์ติดอันดับในการค้นหาได้เมื่อใด การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์จะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที