SEO กับ SEM จำเป็นต้องทำคู่กันหรือไม่

SEO กับ SEM จำเป็นต้องทำคู่กันหรือไม่

ในปัจจุบัน ธุรกิจออนไลน์ทุกประเภทหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการทำ SEO และ SEM ซึ่งหลายคนอาจสงสัยในความหมายและความแตกต่าง ทั้งมีคำถามว่าจำเป็นต้องทำสองวิธีนี้ควบคู่กันหรือไม่ เรามาดูข้อมูลที่น่าสนใจกัน ดังนี้

SEO
ย่อจากคำว่า search engine optimization เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ออนไลน์ในหลากหลายด้าน เช่น การวางโครงสร้างคอลัมน์ เมนู ระบบอีคอมเมิร์ซ การใส่เนื้อหาและมัลติมีเดีย การเชื่อมโยงลิงก์เพจ ฯลฯ เพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการวิเคราะห์ของ Google ในการเปรียบเทียบมาตรฐานระหว่างเว็บไซต์ ที่ใช้คีย์เวิร์ดสืบค้นเดียวกัน เว็บไซต์ที่มีคะแนนคุณภาพสูงกว่าจะได้โอกาสปรากฏในอันดับด้านบนของ Google จึงส่งผลลัพธ์ให้ได้รับยอดการขายสินค้าที่ดีจากลูกค้าที่เชื่อมั่นในเว็บไซต์อันดับบนมากกว่าอันดับด้านล่าง โดยกว่า 70% ของลูกค้าจะนิยมสั่งซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 1 ถึง 3 เท่านั้น
การทำ SEO จำเป็นต้องทำตลอดทั้งปี เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมคุณภาพในเว็บไซต์ของคุณนาน 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป ดังนั้น ควรเลือกจ้างบริษัทที่มีประสบการณ์ในการทำ SEO หรือหากเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ต้องการประหยัด เจ้าของเว็บไซต์สามารถทำด้วยตัวเองได้ ซึ่งจะสามารถสังเกตเห็นสถิติการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีว่ามีอัตราการเข้าชมมากน้อยเพียงใด หรือผู้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์มาจากการสืบค้นผ่าน keyword ใดบ้าง

SEM
หรือ search engine marketing เป็นวิธีทำการตลาดออนไลน์ที่มีการจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาตำแหน่งต่าง ๆ ใน Google ซึ่ง Keyword มีราคาประมูลและค่าใช้จ่ายต่อการคลิก 1 ครั้งต่างกัน ขึ้นอยู่ความนิยมของคู่แข่ง เช่น ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่จะมี keyword ที่แข่งขันสูงมาก คือคำว่า ของขวัญ จึงต้องจ่ายค่า SEM สูงมาก แต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับออเดอร์อย่างมากจากลูกค้า ซึ่งเรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการโฆษณาและทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ดีและเร็วยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าบริษัทขนาดเล็กและกลางควรคำนวณงบประมาณเพื่อการทำ SEM ให้ละเอียด เพราะส่งผลต่อต้นทุนทางธุรกิจอย่างมาก และไม่ต้องทำ SEM ตลอดปี เพียงเลือกช่วงเวลาที่ต้องการกระตุ้นยอดขายหรือเพื่อแจ้งข่าวสารการออกโปรโมชันใหม่ ๆ ให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้เห็น ซึ่งเป็นเทคนิคที่ดีสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดไม่นาน เพราะสามารถทำ SEM ได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ และจะได้รับผู้เยี่ยมชมทันทีที่โฆษณาแสดงและถูกคลิก แต่ทั้งนี้ ต้องเตรียมพร้อมเรื่องข้อมูลและรูปภาพในเว็บไซต์ให้เพียงพอต่อการตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าและบริการด้วย

จากที่กล่าวมา คงทำให้ทุกท่านได้เห็นความหมายและความแตกต่างของการทำ SEO และ SEM และแสดงให้เห็นว่าทั้งสองวิธีจะแยกกันทำหรือทำควบคู่กันก็ได้ เพราะทั้งสองแบบก็มีประโยชน์เพื่อส่งเสริมการขายทั้งคู่ ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจทำ SEO และ SEM ก็ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดด้วย เพื่อใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ เว็บ SEO ปี 2019

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ เว็บไซต์ SEO ปี 2019

SEO หรือ search engine optimization เป็นวิธีการ ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถถูกสืบค้นได้เป็นอันดับต้นเพื่ออำนาจการแข่งขันทางธุรกิจกับคู่แข่งออนไลน์ทั่วโลก … ในปี 2019 การจะปรับปรุงเว็บไซต์แบบดั้งเดิม ให้เป็นตามระบบ SEO จะต้องรู้อะไรบ้างก่อนลงมือทำ เรามาติดตามกันเลย

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ เว็บไซต์ SEO

ทำความรู้จักกับพื้นฐาน SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์

พื้นฐานของ SEO มี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็น on-page  และ off-page ที่นักธุรกิจออนไลน์ต้องทำความเข้าใจว่า การทำ SEO ต้องครบทั้งสองส่วนนี้ จึงจะมีโอกาสถูกวิเคราะห์ในระบบการสืบค้นของ search engine ไม่ว่าจะ Yahoo หรือ Google แล้วได้ผลดีถูกจัดอันดับเป็นท็อปเท็นหรือปรากฏในหน้าแรกของการสืบค้นเสมอ

(1) ส่วนของ on-Page SEO

เป็นการปรับเนื้อหาในบทความที่ต้องบรรจุ keyword ไม่ว่าจะเป็นแบบ Short Tail หรือ long Tail ที่ได้มาจากการวิจัยตลาดว่าเป็นคำที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจของคุณค้นหาบ่อยที่สุด รวมถึงการทำรูป คลิป หรือสื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมกับการสืบค้นผ่าน keyword

รวมทั้งการปรับส่วนโครงสร้างของเว็บไซต์ให้มีองค์ประกอบเหมาะสมกับการสืบค้น และควรจะนำเทคโนโลยี AI เช่น Bot มาช่วยในการค้นคว้า หาคำตอบให้ลูกค้าอย่างรวดเร็วหรือแนะนำสินค้าได้อย่างฉับไวด้วย

(2) ส่วนของ off-page

เป็นการเชื่อมโยงเว็บไซต์จากภายนอกให้เข้ามาสู่ตัวเว็บไซต์ทางการของธุรกิจคุณ หรือที่เรียกทั่วไปว่าการทำ Backlink เป็นวิธีที่ทำให้ธุรกิจคุณเชื่อมโยงกับ “คนแปลกหน้า” จากทั่วโลกได้จากการที่คุณไปตอบคำถามที่ให้สาระประโยชน์หรือไปแปะลิงค์ไว้ในโลกโซเชียล เช่น ห้องแชทตามสังคม Pantip เป็นต้น

การทำ Backlink เป็นวิธีที่ดีในโลกยุค 2019 เพราะผู้บริโภครุ่นใหม่จะใช้วิธีการหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ด้วยการอ่านรีวิวหรือสอบถามจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์แลกเปลี่ยนกัน

ทำความรู้จัก AI ที่ search engine ใช้ในการสืบค้นข้อมูล ปี 2019

Search engine ที่คนทั่วโลกนิยมเป็นอันดับต้นคือ Google ในปี 2019 AI ที่จะมาโดดเด่นในการวิเคราะห์ข้อมูล ก็คือ Rank brain จะโชว์ผลการสืบค้นที่มีความจำเพาะกับผู้ใช้งานแต่ละคนยิ่งขึ้น โดยจะประมวลจาก keyword ที่ผู้ใช้งานล็อกอินนั้น ๆ เคยพิมพ์ หาข้อมูลเอาไว้ ซึ่งจะทำให้มีการประมวลหาเว็บไซต์ SEO ที่สอดคล้องกับบริบทและความเป็นอัตลักษณ์ของผู้ใช้แต่ละคนมากยิ่งขึ้น

การพัฒนาเว็บไซต์ SEO ในปี 2019 จึงไม่ควรหยุดอยู่เพียงแค่การมุ่งเน้นที่เป้าหมายการซื้อขายหรือการทำบทความที่เน้นเพียงปริมาณเท่านั้น จะต้องใส่ใจเรื่องของการนำเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้าง Content ที่มีคุณภาพและการรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ให้ข้อมูลที่เป็นกลางให้ลูกค้าตัดสินใจด้วยตัวเอง

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ เว็บไซต์ SEO ปี 2019

หากทำเช่นนี้ได้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้มียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นและสัมพันธ์กับยอดขายที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน

ทำไมทำบทความ SEO แล้วก็ยังไม่เพิ่มยอดขาย

ทำไมทำบทความ SEO แล้วก็ยังไม่เพิ่มยอดขาย

การทำธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการทำ SEO เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่เว็บไซต์ ผ่านการนำเสนอบทความที่มีคุณภาพ และที่สำคัญคือทำให้เกิดลูกค้าประจำและลูกค้ากลุ่มใหม่เรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มยอดขายทั้งระยะสั้นและระยะยาว แต่หลายท่านก็ประสบปัญหาแม้จะทำบทความ SEO แล้วก็ตาม เรามาดูกันว่าเกิดจากสาเหตุใดกันบ้างที่ทำให้ยอดขายไม่เพิ่ม

1. คีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ในบทความมีหลายคำมากเกินไปในแต่ละหน้า (ไม่ควรเกิน 5 คำ) ทำให้ลูกค้าจับประเด็นที่ตั้งใจสื่อสารไม่ได้ ทำให้การนำเสนอบทความไม่ได้ผลเท่าที่ควร สุดท้ายลูกค้าก็จะไปเลือกสินค้าจากบริษัทอื่นที่มีความชัดเจนในเนื้อหาบทความมากกว่า

2. บทความมีเนื้อหาเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ที่เน้นการขายสินค้าของบริษัท มุ่งให้ข้อมูลด้านผลบวกของตัวสินค้าและสิ่งดี ๆ ที่จะได้จากการซื้อสินค้าและบริการ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงหรือโฆษณาที่เกินจริง และส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการซื้อสินค้าและบริการด้วย

3. ใช้คีย์เวิร์ด SEO ถี่เกินไปจนทำให้ระบบอัลกอริทึ่มตรวจจับว่าเป็นเพจสแปมหรือเพจขยะ ทำให้เสียโอกาสในการจัดอันดับดี ๆ ในการสืบค้น

4. บทความไม่สดใหม่ มีการนำบทความเก่ามาทำซ้ำและมีการคัดลอกสูง จึงถูกระบบ search engine ประเมินคุณค่าต่ำ

5. เนื้อหาในบทความขาดอัตลักษณ์หรือสไตล์ของตัวเอง ทำให้ไม่เป็นที่จดจำของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้การสื่อสารไม่ได้ผลเท่าที่ควร

บทความ SEO

6. คีย์เวิร์ดไม่สัมพันธ์กับเนื้อหา และพยายามยัดเยียดหรือแทรกในเนื้อหาจนขาดความเป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้ผู้อ่านรู้สึกรำคาญและไม่อยากเข้ามาอ่านบทความอีก ทำให้เสียโอกาสในการขายสินค้าและบริการไปด้วย

7. ขาดการตั้งชื่อบทความที่น่าสนใจ ทั้งยังไม่ได้ใส่คีย์เวิร์ดลงในชื่อบทความ ทำให้เสียโอกาสในการสืบค้น จึงแทบไม่มีทางเลยที่กลุ่มเป้าหมายจะเลือกซื้อสินค้าและบริการจากเว็บไซต์ของคุณ

8. องค์ประกอบอื่น ๆ ในเว็บไซต์ที่เป็นงาน off-page SEO ก็ห้ามละเลย เช่น การลิ้งค์จากภายนอก (ข้ามเว็บไซต์) กับลิ้งค์ภายใน (ระหว่างแต่ละหน้าเพจของเราเอง) เพราะส่งผลต่อโอกาสในการนำเสนอสินค้ากับกลุ่มเป้าหมาย

9. พลาดการไปในที่ที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรวมตัวกัน เช่น สังคมการคุยออนไลน์ กลุ่มแชทหรือเพจที่เปิดขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น กลุ่มคนที่ต้องการลดน้ำหนักแบบไม่ทำร้ายสุขภาพ หากคุณขายเครื่องมือออกกำลังกายหรืออาหารเสริมควบคุมน้ำหนัก ก็ควรติดตามเพจและนำเสนอสินค้าในจังหวะที่เหมาะสม

เป็นอย่างไรบ้างกับทั้ง 9 สาเหตุที่ทำให้คุณทำบทความ SEO แล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขาย เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการปรับใช้เพื่อแก้ไขจุดอ่อนและยกระดับมาตรฐานของบทความในเพจให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ยอดขายสูงขึ้นในไม่ช้า

ยอดขาย

เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บ

เว็บใช้ง่าย น่าอ่าน โหลดเร็ว สำคัญไม่แพ้เทคนิคทำ SEO

ธุรกิจออนไลน์จำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับการทำเว็บให้ติดอันดับในเสิร์จเอนจิน หวังว่าจะยืดหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในภาวะที่โลกธุรกิจทวีการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องการทำ SEO เพื่อทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีของผลการค้นหาในกูเกิล วิธีการปรับอันดับของเว็บไซต์มีหลายองค์ประกอบซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องเนื้อหาในเว็บไซต์ การเลือกคีย์เวิร์ดดึงผู้ค้นหาเข้ามาอ่านข้อมูลผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการจัดโครงสร้างเว็บให้ใช้งานง่าย และรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย ผู้ประกอบการควรเลือกวิธีที่สอดคล้องกับธุรกิจของตนเองมากที่สุด โดยมองจากรวมแล้วพัฒนาเพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลการค้นได้เร็วขึ้น น่าอ่าน สำคัญคือโหลดเร็วเพื่อให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งานซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นกลุ่มผู้มีอายุที่มีกำลังซื้อสูงและเพิ่งทำความรู้จักกับเทคโนโลยีใหม่ได้ไม่นาน

ความจริงแล้วการทำธุรกิจออนไลน์เป้าหมายหลักคือการขายสินค้าหรือบริการ เพียงแต่การทำ SEO จะช่วยโฟกัสให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาสินค้าของเราได้เร็วขึ้น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น การลงทุนลงแรงทำ SEO ควรจะมุ่งส่งเสริมในเรื่องการนำเสนอข้อมูลไปพร้อมกับสร้างความประทับใจให้ลูกค้าพอใจกับการเข้ามาอ่านบทความ พิจารณาสินค้า และตัดสินใจซื้อ

โครงสร้างเว็บไซต์เป็นส่วนสำคัญที่ต้องใส่ใจมาก หน้าแรกเป็นเมนูที่ลิงก์เข้าสู่สินค้าและบริการตามหมวดหมู่ ยิ่งทำให้อ่านง่ายใช้สะดวกมากเท่าไรยิ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีดึงลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมซ้ำๆ และมีโอกาสปิดการขายได้ง่ายขึ้น แนะนำให้ผู้ประกอบการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ทำงานได้ดีในระบบค้นหา โดยเลือกใส่คีย์เวิร์ดในข้อมูลสินค้าและบทความ ถ้าในเว็บไม่ได้เน้นเนื้อหาเป็นตัวอักษรมากนัก อาจเลือกใส่คีย์เวิร์ดในชื่อไฟล์ของรูปภาพเพื่อให้เสิร์จเอนจินเข้าใจและลิงก์การค้นหาของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ง่าย

การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงกับสิ่งที่ผู้บริโภคกำลังค้นหาอยู่เป็นวิธีการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเปิดเข้ามาในเว็บพบเห็นสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการอยู่แล้ว การเขียนบทความชักจูงลูกค้าได้น่าอ่าน แนะนำข้อมูลสินค้าและบริการอย่างละเอียด ดูมีคุณค่าน่าใช้ แม้ว่าลูกค้ายังไม่ตัดสินใจซื้อในวันนี้ แต่จะเกิดความประทับใจทำให้แวะเวียนเข้ามาอีก วันหน้ามีโอกาสปิดการขายและอาจได้รับการแชร์บอกต่อให้เพื่อนพี่น้องเข้ามาอุดหนุนสินค้าของเราอีก

สำหรับคนที่เน้นการทำบทความที่มีคุณภาพ บริบทของคำว่าคุณภาพอาจไม่ได้หมายถึงสำนวนภาษาสละสลวย เหมือนเป็นวรรณกรรมที่ไม่เสื่อมไปตามกาลเวลา แต่หมายถึงเนื้อหาสำคัญที่ตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าค้นหา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสินค้า การใช้งาน ประโยชน์ หรือรีวิวของลูกค้าเก่า โดยอาจจะใช้คำจูงใจให้ผู้คนอยากกดเข้าไปอ่าน เช่น How to, Guide, Review, Best เหตุผลของการเขียนบทความที่ใช้ภาษาสั้นกระชับ เข้าใจง่าย เพื่อให้ความสำคัญกับการแสดงผลบนมือถือ ไม่ใช่เพราะคนทุกวันนี้ไม่อ่านชอบบทความยาวเกินไปเท่านั้น แต่ยังสะดวกในการอ่าน ค้นหา และสั่งซื้อสินค้าอีกด้วย