หลักการทำ SEO อย่างถูกต้อง และทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ

หลักการทำ SEO อย่างถูกต้อง และทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของ Search Engine อย่าง Google ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสปรากฏบนหน้าแรกของผลการค้นหา (SERP) สูงขึ้น ส่งผลต่อการดึงดูด Traffic เข้าสู่เว็บไซต์

หลักการสำคัญของ SEO แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก

1. On-Page SEO มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาและองค์ประกอบภายในเว็บไซต์

การวิจัย Keyword : เลือก Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเว็บไซต์และมีคนค้นหาจำนวนมาก

การใส่ Keyword : ใส่ Keyword ใน Title Tag, Meta Description, Heading Tags, เนื้อหาบทความ และ URL

การเขียนเนื้อหา : เขียนเนื้อหาให้น่าสนใจ มีประโยชน์ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ และมีความยาวเหมาะสม

การ Optimize รูปภาพ : ใส่ Alt Text ที่มีความเกี่ยวข้องกับรูปภาพ

การปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ : ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย และสามารถนำทางได้สะดวก

การปรับแต่งความเร็วเว็บไซต์ : ปรับแต่งเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว

2. Off-Page SEO มุ่งเน้นไปที่การสร้าง Backlink จากเว็บไซต์อื่น

การเขียน Guest Post : เขียนบทความและใส่ Backlink ไปยังเว็บไซต์ของเรา

การทำ Social Media : แชร์เนื้อหาบน Social Media ต่างๆ

การสร้าง Infographic : ออกแบบ Infographic ที่น่าสนใจและใส่ Backlink ไปยังเว็บไซต์ของเรา

การทำ Forum Marketing : เข้าร่วม Forum และใส่ Backlink ไปยังเว็บไซต์ของเรา

เครื่องมือที่ช่วยทำ SEO

Google Search Console : เครื่องมือจาก Google ที่ช่วยวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา SEO ของเว็บไซต์

Google Keyword Planner : เครื่องมือจาก Google ที่ช่วยวิเคราะห์ Keyword

Ahrefs : เครื่องมือ SEO ที่ช่วยวิเคราะห์ Backlink และ Keyword

SEMrush : เครื่องมือ SEO ที่ช่วยวิเคราะห์ Traffic และ Keyword

ข้อควรระวัง

การทำ SEO ต้องใช้เวลา : ไม่สามารถทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ทันที

การทำ SEO ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ : แนะนำให้ศึกษาข้อมูลหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

การทำ SEO ต้องทำอย่างต่อเนื่อง : อัลกอริทึมของ Search Engine เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

สรุป

การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความอดทนและความพยายาม แต่หากทำอย่างถูกต้อง เว็บไซต์ของคุณก็มีโอกาสติดอันดับบน SERP สูงขึ้น ส่งผลต่อการดึงดูด Traffic เข้าสู่เว็บไซต์และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

ทำการตลาดด้วยวิธี SEO สำคัญอย่างไร

ทำการตลาดด้วยวิธี SEO สำคัญอย่างไร

การขายสินค้าในอินเทอร์เน็ต เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันจึงทำให้มีคู่แข่งทางธุรกิจมาก การทำ SEO เป็นวิธีที่จะทำให้เว็บไซต์อันดับดีขึ้นได้ เมื่อลูกค้าใช้ Keyword SEO ในการค้นหา ก็จะมีโอกาสพบเว็บไซต์ง่าย ส่งผลดีต่อความน่าเชื่อถือและยอดขายที่ตามมาได้

การทำ SEO นั้นประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนของ On-Page SEO (ทำบทความที่มีคุณภาพ ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่าน และใส่ Keyword ที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายค้นหา) รวมถึงการมีรูปประกอบหรือสื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ ที่ช่วยให้ดึงดูดใจ ซึ่งจะทำให้ Search Engine ประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ได้อันดับดีขึ้น

ส่วนที่สอง คือการทำ Back Link ที่เชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณกับเว็บไซต์ภายนอก เช่น เว็บไซต์ที่เป็นสังคมโพสต์ถามตอบสินค้าแม่และเด็ก หากคุณขายสินค้าประเภทเสื้อผ้าเด็กอยู่ คุณก็สามารถไปให้คำแนะนำเกี่ยวกับเนื้อผ้า สีสัน ฯลฯ ที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าเด็กและแปะลิงก์ เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์คุณก็ได้ ซึ่งจะทำให้เพิ่มโอกาสในการสั่งสินค้าในเว็บไซต์ของคุณได้ด้วย

การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ในปัจจุบันมีประโยชน์หลาย ดังนี้

1. ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ เนื่องจาก Google และ Yahoo ซึ่งเป็น Search Engineที่คนนิยมใช้หาข้อมูลจะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์จากการทำ SEO เพื่อจัดอันดับการนำเสนอในหน้าต่างการสืบค้น

2. ทำให้เกิดการจดจำแบรนด์สินค้าของคุณได้ดีขึ้น เมื่อทำ SEO จนเว็บไซต์มีอันดับดี และยังทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมีความรู้สึกมั่นใจในการสั่งซื้อสินค้าหรือใช้บริการในเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ที่อยู่อันดับล่าง ๆ ของการสืบค้นที่จะมีโอกาสขายได้น้อยกว่า

3. การทำ SEO ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างทำโฆษณาสินค้า อย่างการทำ SEM หรือ Search Engine Marketing เพราะการทำบทความที่มีคุณภาพต่อเนื่อง ก็ทำให้การจัดอันดับเว็บไซต์ดีขึ้นและมีผู้ติดตามอ่านบทความในเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจค้าขายออนไลน์ได้ด้วย นอกจากนี้ยังประหยัดค่าเดินทางในการไปประชาสัมพันธ์ธุรกิจในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศได้ด้วย เพราะใช้ระบบอินเทอร์เน็ตในการส่งข้อมูลได้ทั่วโลกตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO อย่างมีคุณภาพให้ประโยชน์แก่ธุรกิจออนไลน์ในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งเจ้าของธุรกิจสามารถที่จะศึกษาการทำ SEO ได้ด้วยตัวเอง หรือเลือกจ้างจากบริษัทที่มีผู้เชี่ยวชาญในการทำ SEO ทั้งนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือนในการสะสมข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จึงต้องเลือกแพ็คเกจรายเดือน-รายปี ที่เหมาะกับประเภทธุรกิจคุณด้วย

ทำการตลาดด้วยวิธี SEO สำคัญ

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ เว็บ SEO ปี 2019

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ เว็บไซต์ SEO ปี 2019

SEO หรือ search engine optimization เป็นวิธีการ ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถถูกสืบค้นได้เป็นอันดับต้นเพื่ออำนาจการแข่งขันทางธุรกิจกับคู่แข่งออนไลน์ทั่วโลก … ในปี 2019 การจะปรับปรุงเว็บไซต์แบบดั้งเดิม ให้เป็นตามระบบ SEO จะต้องรู้อะไรบ้างก่อนลงมือทำ เรามาติดตามกันเลย

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ เว็บไซต์ SEO

ทำความรู้จักกับพื้นฐาน SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์

พื้นฐานของ SEO มี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็น on-page  และ off-page ที่นักธุรกิจออนไลน์ต้องทำความเข้าใจว่า การทำ SEO ต้องครบทั้งสองส่วนนี้ จึงจะมีโอกาสถูกวิเคราะห์ในระบบการสืบค้นของ search engine ไม่ว่าจะ Yahoo หรือ Google แล้วได้ผลดีถูกจัดอันดับเป็นท็อปเท็นหรือปรากฏในหน้าแรกของการสืบค้นเสมอ

(1) ส่วนของ on-Page SEO

เป็นการปรับเนื้อหาในบทความที่ต้องบรรจุ keyword ไม่ว่าจะเป็นแบบ Short Tail หรือ long Tail ที่ได้มาจากการวิจัยตลาดว่าเป็นคำที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจของคุณค้นหาบ่อยที่สุด รวมถึงการทำรูป คลิป หรือสื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมกับการสืบค้นผ่าน keyword

รวมทั้งการปรับส่วนโครงสร้างของเว็บไซต์ให้มีองค์ประกอบเหมาะสมกับการสืบค้น และควรจะนำเทคโนโลยี AI เช่น Bot มาช่วยในการค้นคว้า หาคำตอบให้ลูกค้าอย่างรวดเร็วหรือแนะนำสินค้าได้อย่างฉับไวด้วย

(2) ส่วนของ off-page

เป็นการเชื่อมโยงเว็บไซต์จากภายนอกให้เข้ามาสู่ตัวเว็บไซต์ทางการของธุรกิจคุณ หรือที่เรียกทั่วไปว่าการทำ Backlink เป็นวิธีที่ทำให้ธุรกิจคุณเชื่อมโยงกับ “คนแปลกหน้า” จากทั่วโลกได้จากการที่คุณไปตอบคำถามที่ให้สาระประโยชน์หรือไปแปะลิงค์ไว้ในโลกโซเชียล เช่น ห้องแชทตามสังคม Pantip เป็นต้น

การทำ Backlink เป็นวิธีที่ดีในโลกยุค 2019 เพราะผู้บริโภครุ่นใหม่จะใช้วิธีการหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ด้วยการอ่านรีวิวหรือสอบถามจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์แลกเปลี่ยนกัน

ทำความรู้จัก AI ที่ search engine ใช้ในการสืบค้นข้อมูล ปี 2019

Search engine ที่คนทั่วโลกนิยมเป็นอันดับต้นคือ Google ในปี 2019 AI ที่จะมาโดดเด่นในการวิเคราะห์ข้อมูล ก็คือ Rank brain จะโชว์ผลการสืบค้นที่มีความจำเพาะกับผู้ใช้งานแต่ละคนยิ่งขึ้น โดยจะประมวลจาก keyword ที่ผู้ใช้งานล็อกอินนั้น ๆ เคยพิมพ์ หาข้อมูลเอาไว้ ซึ่งจะทำให้มีการประมวลหาเว็บไซต์ SEO ที่สอดคล้องกับบริบทและความเป็นอัตลักษณ์ของผู้ใช้แต่ละคนมากยิ่งขึ้น

การพัฒนาเว็บไซต์ SEO ในปี 2019 จึงไม่ควรหยุดอยู่เพียงแค่การมุ่งเน้นที่เป้าหมายการซื้อขายหรือการทำบทความที่เน้นเพียงปริมาณเท่านั้น จะต้องใส่ใจเรื่องของการนำเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้าง Content ที่มีคุณภาพและการรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ให้ข้อมูลที่เป็นกลางให้ลูกค้าตัดสินใจด้วยตัวเอง

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ เว็บไซต์ SEO ปี 2019

หากทำเช่นนี้ได้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้มียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นและสัมพันธ์กับยอดขายที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน

คีย์เวิร์ด SEO กับวงการนักเขียนเกี่ยวข้องกันอย่างไร

คีย์เวิร์ด SEO กับวงการนักเขียนเกี่ยวข้องกันอย่างไร

การเป็นนักเขียนในยุคปัจจุบัน จำเป็นต้องมีฝีมือทั้งส่วนของงานเขียนและมีความรู้กว้างขวางเกี่ยวกับระบบการสืบค้นด้วย SEO จึงจะมีโอกาสสูงในการประสบความสำเร็จในสายงานเขียน มียอดผู้ติดตามอ่านผลงานอย่างต่อเนื่อง จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง มาดูกันเลย

คีย์เวิร์ด SEO กับวงการนักเขียนเกี่ยวข้องกัน

SEO คืออะไร

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคที่ทำให้บทความถูกสืบค้นง่ายผ่านหน้าต่างการสืบค้นของ search engine อย่าง yahoo google หากยิ่งถูกจัดอันดับสูงเท่าไร ก็ยิ่งทำให้มีผู้ติดตามและมีรายได้ที่สูงขึ้นตามมาด้วย

คีย์เวิร์ด SEO กับฝีมือของนักเขียนรุ่นใหม่เกี่ยวกันอย่างไร

ผู้อ่านจะติดตามนักเขียนที่มีแนวทางการเขียนที่ชัดเจนและสามารถถ่ายทอดจินตนาการผ่านตัวอักษรที่สละสลวย ซึ่งเป็นฝีมือเฉพาะของนักเขียนแต่ละคน เช่น เจ.เค. โรลลิ่ง ที่เป็นผู้แต่งเรื่อง Harry potter

และสิ่งหนึ่งที่ห้ามขาดสำหรับนักเขียนรุ่นใหม่ คือ การมีคีย์เวิร์ด SEO ที่ตรงกับการสืบค้นของกลุ่มผู้อ่านเป้าหมาย ที่ต้องแทรกในบทความกระจายอย่างสม่ำเสมอ ในลักษณะที่มีความกลมกลืนกับเนื้อหา ไม่ขัดหูขัดตา จึงจะแสดงถึงฝีมือระดับโปรอย่างแท้จริง

วิธีการหาคีย์เวิร์ด SEO ที่ใช่

นักเขียนรุ่นใหม่จะได้รับความสะดวกสบายอย่างมาก จากการใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า google keyword planner ซึ่งนอกจากจะแสดงผลลัพธ์การสืบค้นเป็นคีย์เวิร์ดที่ใช่ สำหรับให้คุณนำไปต่อยอดเป็นงานเขียนแล้ว ยังมีตัวเลขเชิงสถิติ เช่น บอกจำนวนการสืบค้น หรือ volume การเปรียบเทียบเป็นกราฟเส้นระหว่างคีย์เวิร์ดหลาย ๆ คำ และที่สำคัญคือการแสดงวลีแนะนำที่มีความหมายใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดที่เราสนใจด้วย

งานเขียนออนไลน์ต้องใส่ใจคีย์เวิร์ด SEO ในส่วนใดเพิ่มอีก

นักเขียนรุ่นใหม่ต้องทำความเข้าใจองค์ประกอบที่สำคัญอื่น ๆ ว่าเว็บไซต์ที่บทความของ เรานำเสนอนั้นจะถูกสืบค้นได้ง่ายยิ่งขึ้นหากมีการใส่คีย์เวิร์ด SEO ในตำแหน่งที่สำคัญ ดังนี้

1. ชื่อเรื่อง หรือ title ต้องมีความสั้น กระชับ และดึงดูดใจให้คนคลิกเข้ามาอ่าน

2. URL หรือที่อยู่ของเพจที่ต้องตั้งเป็นภาษาอังกฤษเพื่อป้องกันปัญหา error ในการเชื่อมโยงเพจ

3. ส่วนหัวและท้ายของบทความที่ต้องมีความกระชับและมีทิศทางการนำเข้าเรื่องที่ชัดเจนและการจบท้ายที่ให้ผู้อ่านได้ข้อคิดดี ๆ จากบทความ ก็ต้องไม่ลืมแทรกคีย์เวิร์ด SEO ลงไปด้วย

คีย์เวิร์ด SEO กับวงการนักเขียน

จะเห็นได้ว่า นักเขียนรุ่นใหม่ต้องมีความรู้เรื่อง SEO เพิ่มเติมจากทักษะการสื่อสารและความรอบรู้ในสิ่งที่จะเขียน จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีนักเขียนมืออาชีพมีนามปากกาของตัวเองที่จะมีชื่อเสียงติดตลาดยาวนานและกรณีนักเขียน freelance ที่เขียนงานส่งเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่จะทำให้มีการจ้างงานอย่างต่อเนื่องแน่นอน

SEO สำหรับขายของออนไลน์ยังจำเป็นไหม ในปี 2019

SEO สำหรับขายของออนไลน์ยังจำเป็นไหม ในปี 2019

ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ การขายสินค้าออนไลน์เรียกได้ว่าเป็นช่องทางการตลาดเส้นทางใหม่และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง จนทำให้ประเทศไทยเราต้องปรับตัวในส่วนของการเรียกเก็บภาษีจากผู้ขายสินค้าออนไลน์ด้วย ในส่วนของการทำการตลาดแบบ SEO ยังเป็นประเด็นที่ต้องใส่ใจให้ความสำคัญอยู่หรือไม่ในปี 2019 มาหาคำตอบพร้อมกันเลย

SEO สำหรับขายของออนไลน์ยังจำเป็น ในปี 2019

การทำ SEO คืออะไร

SEO หรือ search engine optimization เป็นการทำให้เว็บไซต์ของเราถูกสืบค้นได้ง่าย และรวดเร็วจากระบบอัลกอริทึ่มของ search engine อย่างที่ใคร ๆ มักพูดว่าอยากรู้อะไรให้พิมพ์หาในกูเกิ้ล การทำ SEO จึงเป็นการปรับโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ขายสินค้าของ เราให้ตรงตามหลักเกณฑ์ของเว็บไซต์สืบค้น ซึ่งหากอยากให้ค้นหาง่ายติดอันดับท็อป 10 ในหน้าแรกของการแสดงผล ก็จำเป็นต้องอัพเดตเนื้อหาเพิ่ม content SEO อยู่เสมอ จึงจะมีโอกาสได้ลูกค้าและยอดขายที่สูงขึ้นชัดเจน

การจ้างบริษัททำ SEO ยังคุ้มค่าไหม

SEO เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับการพัฒนาธุรกิจ เพื่อให้ครองใจลูกค้า และมีส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างสม่ำเสมอ การหยุดนิ่ง คือการทำให้คู่แข่งแบรนด์อื่นแซงหน้าและย่อมส่งผลต่อความอยู่รอดในธุรกิจออนไลน์ของเราด้วย การจ้างผู้มีความชำนาญในการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง เช่น บริษัทต่าง ๆ ที่รับจ้างดูแล SEO ทั้งส่วนของ content การอัพเดตเว็บไซต์รายวันและการปรับโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ให้มีความเป็นปัจจุบัน ฯลฯ จึงมีความสำคัญและเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงานขายออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่าในปี 2019 ธุรกิจบนเครือข่าย Internet จะยิ่งมีการแข่งขันสูงและต้องช่วงชิงจังหวะกันมากยิ่งขึ้นกว่านี้

ในปี 2019 ทิศทางจะเป็นอย่างไร

มีความเป็นไปได้สูงว่า ในปี 2019 การจัดอันดับการแสดงผลจะสัมพันธ์กับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาแบบ SEO อย่างเด่นชัด เนื่องจากมีการนำระบบ AI อย่าง RankBrain ในการวิเคราะห์บทความมาใช้ ซึ่ง RankBrain จะทำตัวเสมือนเป็นผู้อ่านหรือ User ที่อัจฉริยะในการตัดสินใจว่าบทความใด ๆ ให้ประโยชน์และตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ก็จะจัดเป็นอันดับต้น ๆ ในการสืบค้น ดังนั้นผู้ดูแลเว็บไซต์ SEO จึงต้องเพิ่มในส่วนของ CTR หรือ click through rate ให้มากยิ่งขึ้น การทำให้ส่วน title description มีความน่าสนใจก็เป็นอีกทางหนึ่งในการดึงดูดใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาอ่านและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้น

SEO-สำหรับขายของออนไลน์ยังจำเป็นไหม

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการทำให้ทุกท่านเห็นความจำเป็นในการทำ SEO อย่างต่อเนื่องในปี 2019 ซึ่งคาดกันว่าจะเป็นปีแห่งธุรกิจออนไลน์ที่วัดความสำเร็จส่วนหนึ่งกันที่การทำงาน SEO ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ระบบอัลกอริทึ่มแบบใหม่ของ search engine ด้วย

ทำไมทำบทความ SEO แล้วก็ยังไม่เพิ่มยอดขาย

ทำไมทำบทความ SEO แล้วก็ยังไม่เพิ่มยอดขาย

การทำธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการทำ SEO เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่เว็บไซต์ ผ่านการนำเสนอบทความที่มีคุณภาพ และที่สำคัญคือทำให้เกิดลูกค้าประจำและลูกค้ากลุ่มใหม่เรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มยอดขายทั้งระยะสั้นและระยะยาว แต่หลายท่านก็ประสบปัญหาแม้จะทำบทความ SEO แล้วก็ตาม เรามาดูกันว่าเกิดจากสาเหตุใดกันบ้างที่ทำให้ยอดขายไม่เพิ่ม

1. คีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ในบทความมีหลายคำมากเกินไปในแต่ละหน้า (ไม่ควรเกิน 5 คำ) ทำให้ลูกค้าจับประเด็นที่ตั้งใจสื่อสารไม่ได้ ทำให้การนำเสนอบทความไม่ได้ผลเท่าที่ควร สุดท้ายลูกค้าก็จะไปเลือกสินค้าจากบริษัทอื่นที่มีความชัดเจนในเนื้อหาบทความมากกว่า

2. บทความมีเนื้อหาเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ที่เน้นการขายสินค้าของบริษัท มุ่งให้ข้อมูลด้านผลบวกของตัวสินค้าและสิ่งดี ๆ ที่จะได้จากการซื้อสินค้าและบริการ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงหรือโฆษณาที่เกินจริง และส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการซื้อสินค้าและบริการด้วย

3. ใช้คีย์เวิร์ด SEO ถี่เกินไปจนทำให้ระบบอัลกอริทึ่มตรวจจับว่าเป็นเพจสแปมหรือเพจขยะ ทำให้เสียโอกาสในการจัดอันดับดี ๆ ในการสืบค้น

4. บทความไม่สดใหม่ มีการนำบทความเก่ามาทำซ้ำและมีการคัดลอกสูง จึงถูกระบบ search engine ประเมินคุณค่าต่ำ

5. เนื้อหาในบทความขาดอัตลักษณ์หรือสไตล์ของตัวเอง ทำให้ไม่เป็นที่จดจำของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้การสื่อสารไม่ได้ผลเท่าที่ควร

บทความ SEO

6. คีย์เวิร์ดไม่สัมพันธ์กับเนื้อหา และพยายามยัดเยียดหรือแทรกในเนื้อหาจนขาดความเป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้ผู้อ่านรู้สึกรำคาญและไม่อยากเข้ามาอ่านบทความอีก ทำให้เสียโอกาสในการขายสินค้าและบริการไปด้วย

7. ขาดการตั้งชื่อบทความที่น่าสนใจ ทั้งยังไม่ได้ใส่คีย์เวิร์ดลงในชื่อบทความ ทำให้เสียโอกาสในการสืบค้น จึงแทบไม่มีทางเลยที่กลุ่มเป้าหมายจะเลือกซื้อสินค้าและบริการจากเว็บไซต์ของคุณ

8. องค์ประกอบอื่น ๆ ในเว็บไซต์ที่เป็นงาน off-page SEO ก็ห้ามละเลย เช่น การลิ้งค์จากภายนอก (ข้ามเว็บไซต์) กับลิ้งค์ภายใน (ระหว่างแต่ละหน้าเพจของเราเอง) เพราะส่งผลต่อโอกาสในการนำเสนอสินค้ากับกลุ่มเป้าหมาย

9. พลาดการไปในที่ที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรวมตัวกัน เช่น สังคมการคุยออนไลน์ กลุ่มแชทหรือเพจที่เปิดขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น กลุ่มคนที่ต้องการลดน้ำหนักแบบไม่ทำร้ายสุขภาพ หากคุณขายเครื่องมือออกกำลังกายหรืออาหารเสริมควบคุมน้ำหนัก ก็ควรติดตามเพจและนำเสนอสินค้าในจังหวะที่เหมาะสม

เป็นอย่างไรบ้างกับทั้ง 9 สาเหตุที่ทำให้คุณทำบทความ SEO แล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขาย เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการปรับใช้เพื่อแก้ไขจุดอ่อนและยกระดับมาตรฐานของบทความในเพจให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ยอดขายสูงขึ้นในไม่ช้า

ยอดขาย

7 ข้อดีของการทำ SEO

SEO 7 ข้อดี 4 ข้อเสียของการทำ SEO

ในปัจจุบัน การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ทำการขายสินค้าและบริการทางออนไลน์ (online) กันมากขึ้น ซึ่งสำหรับผู้ที่เป็นมือใหม่ทางการตลาดออนไลน์ อาจมีข้อข้องใจว่าการทำ SEO มีความคุ้มค่าหรือสามารถวัดผลได้จริงหรือไม่?

เราจึงได้รวบรวม 7 ข้อดี และ 4 ข้อเสียของการทำ SEO มาฝากกัน

7 ข้อดีของการทำ SEO

1. ค่าจ้างทำ SEO ถูกกว่าการจ้างทำสื่อโฆษณารูปแบบอื่น ๆ เช่น การทำแบนเนอร์ การจ่ายราคาต่อคลิก หรือ pay per click

2. เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อธุรกิจให้ดูมีความทันสมัย ฉับไว พร้อมตอบข้อสงสัยด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น

3. เป็นการอัพเดตเว็บไซต์ให้เป็นตามหลักสากล เนื่องจากระบบการสืบค้นของ search engine ต้องกำหนดการตั้งโค้ดให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เทียบได้กับการยกเครื่องรถยนต์นั่นเอง

4. เปิดหน้าร้านให้ลูกค้าใหม่ได้รู้จักธุรกิจเรามากขึ้น

5. เป็นการทบทวน (remind) ลูกค้าเก่าและลูกค้าประจำให้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

6. เป็นช่องทางประขาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุด

7. เข้าถึงลูกค้าต่างถิ่นหรือต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ควรตั้งชื่อ URL และเพิ่มเนื้อหาเป็น ENGLISH เพื่อให้ผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก (ซึ่งทั่วโลกมีเปอร์เซ็นต์สูง) สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่าย

SEO 7 ข้อดี 4 ข้อเสียของการทำ SEO

4 ข้อเสียของการทำ SEO

1.สำหรับผู้ที่ไม่เคยทำ SEO ในธุรกิจออนไลน์ การจ้างบริษัทเอกชนทำงานส่วนนี้ รวมทั้งจ้างเขียนบทความประกอบการทำ SEO ถือได้ว่าเป็นต้นทุนที่เพิ่มเติมขึ้น ทำให้อัตราส่วนกำไรต่อชิ้นของสินค้าลดลงได้

2. การที่ไม่มีธุรกิจใดสามารถเข้าถึงตรรกะของระบบสืบค้นใน search engine ได้อย่างแท้จริง ด้วยความเป็นอัตลักษณ์ของอัลกอริทึ่ม (algorithm) จึงทำให้ต้องทำ SEO อย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถหยุดพักได้

3. พร้อมเสียตำแหน่งหรือทำเลดีๆ ในการสืบค้นให้คู่แข่งทางการค้าได้ตลอดเวลา เพราะบริษัทอื่นๆ ก็ล้วนจ้างกูรูด้าน SEO พัฒนาเว็บไซต์ แบบ SEO เช่นเดียวกัน

4. ต้องใช้ระยะเวลาในการทำ SEO จึงจะเห็นผลอาจหลายสัปดาห์หรือเป็นปี ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นซีซั่น (season) เช่น การท่องเที่ยว บางประเทศนักท่องเที่ยวนิยมไปในบางฤดู เช่น เขตยุโรป จะนิยมมากช่วงฤดูหนาว หรือการโรงแรม จะมีช่วงไฮซีซั่นของการจองอยู่ในบางเทศกาล

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต้องวิเคราะห์ต่อยอด ว่ามีความคุ้มค่าต่อการลงทุนในส่วนนี้เพียงใด ทั้งนี้เจ้าของธุรกิจควรศึกษาดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่เหมาะสมสำหรับการทำ SEO ด้วย เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกบริษัทรับจ้างทำ SEO หรือเลือกใช้ช่องทางอื่น ๆ ในการประชาสัมพันธ์ธุรกิจได้อย่างเหมาะสมในระยะต่อไป

ช่วงเวลาไหนถึงควรโพสเฟสบุ๊คมากที่สุด

เวลาดีที่สุด ในการโพสต์เนื้อหาลงเว็บ และโซเชี่ยล

หากคุณกำลังใช้วิธีการทำ SEO เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการทำเว็บไซต์ หรือการใช้โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Line, Instagram, Pinterest และ Blog ควรเลือกโพสต์บทความและรูปภาพในเวลาที่คนกำลังใช้งานอยู่ เป็นวิธีดีที่สุดที่จะทำให้คนเห็นโพสต์ของคุณมากที่สุด จะมองผ่านตาแล้วคลิกเข้าอ่านเลย หรือปักหมุดไว้แล้วค่อยย้อนกลับมาอ่านก็ตาม ล้วนเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณทั้งนั้น คุณจำเป็นต้องเรียนรู้กลยุทธ์การกำหนดเวลาโพสต์ที่เหมาะสมเพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาบทความมากที่สุดและมีส่วนร่วมมากที่สุด

ช่วงเวลาโพสลงเว็บและบนโซเชี่ยล

วันและเวลาไหนเหมาะที่สุดสำหรับการโพสต์รูปภาพและบทความบนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย โดยปกติผู้ใช้ Facebook, Line, Instagram และ Pinterest จะเข้าใช้งานตลอดทั้งสัปดาห์ โดยคนจะให้ความสนใจเล่นโซเชียลมีเดียในวันจันทร์มากกว่าวันอื่น ๆ แนะนำให้โพสต์เนื้อหาในวันจันทร์และวันพฤหัสบดี หลีกเลี่ยงการโพสต์ช่วง 15.00-16.00 น. ซึ่งเป็นชั่วโมงก่อนที่คนจะออกจากที่ทำงาน การโพสต์วิดีโอจะโพสต์วันไหนก็ได้ เวลาเหมาะคือระหว่าง 21.00 น. ข้ามไปอีกวันเวลา 8.00 น. สำหรับการโพสต์บน Facebook, Instagram และ Pinterest ควรโพสต์เวลา ระหว่าง 8.00-9.00 น. และเวลา 17.00 น. และข้ามไปโพสต์เวลาเหมาะอีกช่วงคือตีสอง เพื่อที่คนเปิดมือถือมาแต่เช้าจะเห็นเป็นอันดับแรก คุณลองพิสูจน์ดูก็ได้ ทดลองกับกำหนดเวลาใหม่ เช่น วันพุธ เวลา 7:00 น. และดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

สำหรับการโพสต์รูปภาพใน Pinterest ก็ใช้หลักเดียวกับ Instagram เพราะผู้ใช้งานมักจะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยโพสต์เวลา ระหว่าง 8.00-9.00 น. และเวลา 17.00 น. เนื้อหาของคุณจะผ่านตาลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด หากคุณโพสต์เนื้อหาในเวลาอื่นจะเห็นว่าไม่ได้รับความสนใจมากเท่าที่ควร ลองเปลี่ยนเวลาดูและประเมินผลว่าจริงหรือไม่…

ค่าเฉลี่ยนโพสจาก Reddit

บทสรุปการวัดผลเชิงสถิติ

สถาบันการวิจัยด้านการตลาดบนสังคมโซเชียลเผยเกี่ยวกับเนื้อหาที่ควรโพสต์บน Instagram ในแต่ละวัน โดยประเมินจากแบรนด์ดัง 55 แบรนด์ที่ทำตลาดใน Instagram พบว่าแบรนด์ส่วนใหญ่โพสต์โดยเฉลี่ย 1.5 ครั้งต่อวันหรือ 2-3 ครั้งทุก 3 วัน คุณนำไปทดลองกับผู้ชมของคุณได้ว่ามีผลตอบกลับมาอย่างไร การโพสต์เนื้อหาวันละหลายครั้งไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อผู้ใช้สื่อ แต่ความถี่ในการโพสต์มีความสำคัญ แต่ไม่มากเท่ากับคุณภาพของบทความที่โพสต์ เน้นความสอดคล้องกับสินค้าและบริการ ถ้าขยันโพสต์รายชั่วโมงหรือรายสัปดาห์อย่างสม่ำเสมอ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการย่อมก่อประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในทางกลับกัน ถ้าลดความถี่ในการโพสต์ลง คุณอาจเสียผู้ติดตามไปอย่างรวดเร็ว

อยากรู้ว่าใครเลิกติดตามคุณ ลองดาวน์โหลด Crowdfire ช่วยให้ติดตามความเติบโตของธุรกิจทางได้ทุกวัน ประหยัดเวลาด้วยการจัดการบัญชีโซเชียลทั้งหมดจากที่เดียว ให้ Crowdfire ทำงานแทนคุณ ช่วยค้นหาเนื้อหาที่ผู้ชมชื่นชอบและโพสต์ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณมีเวลาไปโฟกัสการทำธุรกิจให้เติบโตได้ดีที่สุด

เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บ

เว็บใช้ง่าย น่าอ่าน โหลดเร็ว สำคัญไม่แพ้เทคนิคทำ SEO

ธุรกิจออนไลน์จำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับการทำเว็บให้ติดอันดับในเสิร์จเอนจิน หวังว่าจะยืดหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในภาวะที่โลกธุรกิจทวีการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องการทำ SEO เพื่อทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีของผลการค้นหาในกูเกิล วิธีการปรับอันดับของเว็บไซต์มีหลายองค์ประกอบซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องเนื้อหาในเว็บไซต์ การเลือกคีย์เวิร์ดดึงผู้ค้นหาเข้ามาอ่านข้อมูลผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการจัดโครงสร้างเว็บให้ใช้งานง่าย และรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย ผู้ประกอบการควรเลือกวิธีที่สอดคล้องกับธุรกิจของตนเองมากที่สุด โดยมองจากรวมแล้วพัฒนาเพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลการค้นได้เร็วขึ้น น่าอ่าน สำคัญคือโหลดเร็วเพื่อให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งานซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นกลุ่มผู้มีอายุที่มีกำลังซื้อสูงและเพิ่งทำความรู้จักกับเทคโนโลยีใหม่ได้ไม่นาน

ความจริงแล้วการทำธุรกิจออนไลน์เป้าหมายหลักคือการขายสินค้าหรือบริการ เพียงแต่การทำ SEO จะช่วยโฟกัสให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาสินค้าของเราได้เร็วขึ้น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น การลงทุนลงแรงทำ SEO ควรจะมุ่งส่งเสริมในเรื่องการนำเสนอข้อมูลไปพร้อมกับสร้างความประทับใจให้ลูกค้าพอใจกับการเข้ามาอ่านบทความ พิจารณาสินค้า และตัดสินใจซื้อ

โครงสร้างเว็บไซต์เป็นส่วนสำคัญที่ต้องใส่ใจมาก หน้าแรกเป็นเมนูที่ลิงก์เข้าสู่สินค้าและบริการตามหมวดหมู่ ยิ่งทำให้อ่านง่ายใช้สะดวกมากเท่าไรยิ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีดึงลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมซ้ำๆ และมีโอกาสปิดการขายได้ง่ายขึ้น แนะนำให้ผู้ประกอบการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ทำงานได้ดีในระบบค้นหา โดยเลือกใส่คีย์เวิร์ดในข้อมูลสินค้าและบทความ ถ้าในเว็บไม่ได้เน้นเนื้อหาเป็นตัวอักษรมากนัก อาจเลือกใส่คีย์เวิร์ดในชื่อไฟล์ของรูปภาพเพื่อให้เสิร์จเอนจินเข้าใจและลิงก์การค้นหาของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ง่าย

การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงกับสิ่งที่ผู้บริโภคกำลังค้นหาอยู่เป็นวิธีการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเปิดเข้ามาในเว็บพบเห็นสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการอยู่แล้ว การเขียนบทความชักจูงลูกค้าได้น่าอ่าน แนะนำข้อมูลสินค้าและบริการอย่างละเอียด ดูมีคุณค่าน่าใช้ แม้ว่าลูกค้ายังไม่ตัดสินใจซื้อในวันนี้ แต่จะเกิดความประทับใจทำให้แวะเวียนเข้ามาอีก วันหน้ามีโอกาสปิดการขายและอาจได้รับการแชร์บอกต่อให้เพื่อนพี่น้องเข้ามาอุดหนุนสินค้าของเราอีก

สำหรับคนที่เน้นการทำบทความที่มีคุณภาพ บริบทของคำว่าคุณภาพอาจไม่ได้หมายถึงสำนวนภาษาสละสลวย เหมือนเป็นวรรณกรรมที่ไม่เสื่อมไปตามกาลเวลา แต่หมายถึงเนื้อหาสำคัญที่ตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าค้นหา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสินค้า การใช้งาน ประโยชน์ หรือรีวิวของลูกค้าเก่า โดยอาจจะใช้คำจูงใจให้ผู้คนอยากกดเข้าไปอ่าน เช่น How to, Guide, Review, Best เหตุผลของการเขียนบทความที่ใช้ภาษาสั้นกระชับ เข้าใจง่าย เพื่อให้ความสำคัญกับการแสดงผลบนมือถือ ไม่ใช่เพราะคนทุกวันนี้ไม่อ่านชอบบทความยาวเกินไปเท่านั้น แต่ยังสะดวกในการอ่าน ค้นหา และสั่งซื้อสินค้าอีกด้วย

How to Mobile SEO

ทุกสิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับเรื่อง “Mobile SEO”

การใช้สมาร์ทโฟนเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก สำหรับคนส่วนใหญ่การใช้โทรศัพท์จะเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า อุปกรณ์เคลื่อนที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างใช้รวดเร็วและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของ SEO หากคุณยังไม่ได้ปรับแต่งเว็บไซต์สำหรับ SEO บนมือถือ ก็มีโอกาสสูงที่คุณจะไม่เข้าถึงผู้ชมเป้าหมายหรือตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้

ความสำคัญของ Mobile SEO คืออะไร ?

Mobile SEO เป็นสิ่งสำคัญเพราะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในเวลาที่เหมาะสมและในสถานที่ที่เหมาะสม ทุกๆวันผู้คนกำลังค้นพบข้อมูลจากสมาร์ทโฟนมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเข้าชมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ๆเหนือกว่าการเข้าชมบนเดสก์ท็อป เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหลายล้านคนจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ SEO สำหรับมือถือที่มีประสิทธิภาพ ตามรายงานผู้ใช้สมาร์ทโฟนมีเป้าหมายในการซื้อมากกว่าผู้ใช้เดสก์ท็อป ดังนั้น คุณจึงต้องเพิ่มศักยภาพให้กับเว็บไซต์เพื่อทำงานบนมือถือหรือสมาร์ทโฟนให้ดีที่สุด

การ Index ของ Google เพิ่มความสำคัญของ Mobile SEO

การทำให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ โดย Google จะเริ่มให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ทำออกมาเพื่อรองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน หรือเรียกว่า Mobile-First การประกาศนี้หมายความว่าธุรกิจออนไลน์ต้องดำเนินการหากไม่ต้องการสูญเสียลูกค้าไปยังคู่แข่ง

ข้อควรพิจารณาที่สำคัญสำหรับ Mobile SEO

ความเร็วของหน้าเว็บไซต์ – คุณไม่สามารถมีเว็บไซต์สำหรับมือถือที่โหลดได้ช้ามาก ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือจะมีความรู้สึกไม่อดทนเท่ากับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป และอาจไม่รอให้เว็บไซต์โหลดนาน 5 ถึง 7 วินาที คุณจำเป็นต้องวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์บนมือถือเป็นระยะๆและทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น คำแนะนำสำหรับการปรับปรุงความเร็วของหน้าเว็บคือการเพิ่มประสิทธิภาพภาพอัพเกรดเป็น HTTPS ใช้ CDN เป็นต้น ที่จำเป็นจะต้องลงทุนเพิ่มมากขึ้นแต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว

ประสบการณ์ของผู้ใช้ – นอกจากเรื่องความเร็วของการโหลดหน้าเว็บไซต์แล้ว เว็บไซต์ของคุณควรสามารถใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อนสามารถให้ผู้เข้าชมเข้สถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดายที่สุด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ขจัดอุปสรรคใดๆ ที่อาจเป็นปัญหาต่อผู้ใช้ของคุณออกจนหมด

เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาในท้องถิ่น – สมาร์ทโฟน มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อผู้ใช้อยู่นอกบ้าน ประมาณ 76% ของผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ค้นหาสิ่งต่างๆใกล้เคียงกับสถานที่ที่พวกเขาอยู่ ซึ่งหมายความว่าเพื่อให้บรรลุความสำเร็จ SEO อย่างแท้จริงคุณจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์บนมือถือของคุณสำหรับการค้นหาในท้องถิ่นด้วย

สถานการณ์ด้าน SEO นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น สิ่งที่เหมาะสมสำหรับเมื่อวานอาจจะใช้ไม่ได้ในวันนี้ก็ได้ คนทำ SEO จึงควรต้องคอยติดตามเพื่ออัปเดทข่าวสารใหม่ๆอยู่เสมอโดยเฉพาะจาก Google ที่เป็น Search Engine ที่ใหญ่ที่สุดในโลก