คนทำเว็บไซต์ SEO ต้องรู้ ปี 2020 เน้นด้านไหนดี

คนทำเว็บไซต์ SEO ต้องรู้ ปี 2020 เน้นด้านไหนดี

ในปี 2020 การแข่งขันในวงการธุรกิจออนไลน์สูงขึ้น เนื่องจากสภาพการณ์ไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก ทำให้ทุกแบรนด์ต่างพยายามหากลยุทธ์เพื่อมาแข่งขันกัน การทำ เว็บไซต์ SEO จึงเป็นช่องทางที่ดี ทำให้เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคและช่วยเพิ่มยอดซื้อสินค้าได้มากขึ้น เรามาดูกันว่าในปี 2020 เจ้าของธุรกิจออนไลน์และผู้ดูแลเว็บไซต์ต้องเน้นการพัฒนาด้านใดบ้าง

แนวทางพัฒนาเว็บไซต์ SEO

1. long-tailed keyword

คำสำคัญที่คนใช้ค้นหาสินค้าหรือบทความจะมีลักษณะที่จำเพาะมากขึ้น เพื่อประหยัดเวลาในการสืบค้น ให้พุ่งตรงเป้าหมายมากที่สุด เช่น คนที่ต้องการเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ ๆ ก็จะเพิ่มคำค้นหาด้วยคำว่า ประหยัดไฟ รับประกันนาน ดูแลง่าย เป็นต้น ซึ่งเว็บไซต์ที่ให้บริการสินค้านั้น ๆ ก็ต้องผลิตเนื้อหาที่มีข้อมูลเชิงลึกและเป็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ จึงจะทำให้มีการเข้ามาสืบค้นข้อมูลบ่อย ๆ และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจสั่งซื้อสินค้าได้

2. chatbot

กล่องข้อความอัตโนมัติเป็นตัวช่วยให้ภาพลักษณ์เว็บไซต์ทันสมัย และให้ความสะดวกในการตอบคำถามต่าง ๆ จากผู้บริโภค เช่น ให้ข้อมูลสินค้า หลักการทำงานของสินค้า วิธีการซื้อขาย เทคนิคแก้ปัญหาเบื้องต้นในการใช้สินค้า ฯลฯ มีการสำรวจพบว่าผู้บริโภคคนรุ่นใหม่มีความนิยมถามคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการผ่าน chatbot มากขึ้นเป็นเท่าตัวในปีที่ผ่านมา หากคุณต้องการสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ก็ไม่ควรพลาดในประเด็นนี้ด้วย

3. Podcast

เป็นช่องทางให้ความรู้และความบันเทิงที่กำลังได้รับความนิยม และเป็นผลบวกต่อการคิดคะแนนและอันดับ SEO เมื่อมีการอัปโหลดขึ้นเว็บไซต์บ่อย ๆ จะทำให้เกิดการแชร์และบอกต่อ ๆ ด้วย สาเหตุที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะ Podcast เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่สามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ พร้อมกันได้ เช่น ขับรถ ออกกำลังกาย ทำอาหาร เลี้ยงลูก ฯลฯ

4. เป็นมิตรกับมือถือ

ปัจจุบันคนไทยกลุ่มวัยรุ่นถึงผู้สูงวัยที่มีกำลังซื้อสูง จำนวน 9 ใน 10 คน ใช้โทรศัพท์มือถือพกติดตัวตลอดเวลา ทั้งเพื่อการหาข้อมูลทางการศึกษา เล่นเกมส์ เล่นหุ้นออนไลน์ สั่งซื้อของทางอินเทอร์เน็ต ฯลฯ หากต้องการให้แบรนด์เป็นที่รู้จักง่ายขึ้น ก็ต้องทำเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายทางมือถือด้วย ซึ่งผู้ที่ทำเนื้อหาและภาพประกอบก็ควรลดขนาดภาพให้เล็กลง เพื่อลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรในมือถือน้อยลง ไม่มีอาการสะดุดในการใช้งาน และใช้เวลาในการดาวน์โหลดลดลง

จะเห็นได้ว่า การพัฒนาเว็บไซต์ SEO ให้สอดคล้องกับความสนใจของผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยดึงดูดความสนใจ เพิ่มโอกาสกลับมาใช้บริการซ้ำ และเพิ่มยอดขายได้ในระยะยาว เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ทำให้ทุกท่านนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ SEO ได้อย่างดีเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจต่อไป

แนวทางพัฒนาเว็บไซต์ SEO

ปลั๊กอิน YOAST SEO มีอะไรน่าสนใจ

ปลั๊กอิน YOAST SEO มีอะไรน่าสนใจ

เราเชื่อว่าคนที่ทำเว็บไซต์ขายของออนไลน์ ต้องรู้จัก Yoast SEO กันดีอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้อันดับในการทำ SEO คนดียิ่งขึ้นได้ แต่สำหรับคนที่เป็นมือใหม่ เพิ่งเปิดเว็บไซต์ขายของมาไม่นาน เราขอให้ข้อมูลพื้นฐานที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้

Yoast SEO เป็น plugin ตัวช่วยที่นิยมนำมาใช้สำหรับการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลัก SEO หรือ search engine optimization ที่ Google กำหนด เพื่อให้ระบบ algorithm นำไปประมวล แล้วเสนอผลการสืบค้นที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

หากใช้งาน WordPress ทำบทความ SEO อยู่แล้ว จะสามารถดาวน์โหลดเพิ่มได้ฟรี เพื่อการปรับแก้ไขระหว่างการทำ SEO ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่พลาดโอกาสในการปรับปรุงบทความให้มีคุณภาพสูงขึ้น และเสริมสร้างอำนาจในการแข่งขันกับบริษัทธุรกิจอื่น

Yoast SEO สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณดีขึ้นได้ จากประเด็นต่อไปนี้

1. ช่วยเลือก keywords ที่เหมาะสม

การใช้ keyword SEO ที่สั้นเกินไปหรือมีความหมายกว้าง จะทำให้อำนาจในการเจาะจงกับกลุ่มเป้าหมายน้อยลง คิดเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในยอดขายสินค้าได้ต่ำ กว่าการใช้แบบ Niche Long-tailed keywords ที่เฉพาะเจาะจงกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเช่น ประเภทของสินค้า+ยี่ห้อ+กลุ่มเป้าหมาย เช่น เสื้อแฟชั่น+เกาหลี+หญิง+คนรุ่นใหม่+ฤดูใบไม้ผลิ จะเห็นได้ว่าเมื่อเลือก keyword ที่ดี การสร้างผลงานบทความก็จะมีคุณภาพยิ่งขึ้นด้วย

2. การปรับแต่งหัวข้อและบทย่อ

หัวข้อที่ดีช่วยจูงใจให้ผู้อ่านคลิกเข้ามาชม และหากมี Meta Description หรือบทย่อความยาว 150 คำที่น่าสนใจ ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่าหากคลิกเข้ามาแล้ว จะได้รับความรู้ในประเด็นใดบ้างจากบทความ ส่วนนี้จึงเป็นเหมือนประตู ที่ผู้อ่านจะได้รู้จักเว็บไซต์คุณมากขึ้น Yoast SEO จะแสดงสัญลักษณ์เป็นสีเขียว ส้ม แดง พร้อมคำอธิบายภาษาอังกฤษที่จะทำให้คุณเข้าใจได้ว่า การตั้งชื่อหัวข้อและคำอธิบายย่อ เหมาะสมหรือยัง โดยจะเป็นแนวเดียวกับการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดในข้อแรก

3.การทำ Internal Link

Yoast SEO สามารถช่วยให้คุณทำ Internal Link ได้น่าสนใจ จากการกำหนดประโยคสั้น ๆ ใบบางช่วงของบทความ หรือคำบางคำ ที่สามารถเชื่อมต่อไปสู่บทความใหม่ในหน้าเพจอื่น ๆ ของคุณได้ การคลิกที่รูปลูกโซ่ของฟังก์ชั่นนี้ จะทำให้เพิ่มอันดับ SEO ได้ดีขึ้น เมื่อผู้อ่านนำลูกศรไปที่ตำแหน่งนั้น จะกลายเป็นรูปมือ ที่คลิกสร้างการเชื่อมโยงได้ง่าย ๆ

จะเห็นได้ว่า Yoast SEO มีประโยชน์มากต่อการทำบทความซึ่งส่งผลต่อการทำเว็บไซต์ SEO ให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง และต่อยอดเพื่อการพัฒนาคุณภาพเว็บไซต์ที่ดียิ่งขึ้นต่อไป

Yoast SEO สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณดีขึ้นได้

ทำความรู้จักปลั๊กอิน Yoast SEO สำคัญอย่างไร

ทำความรู้จักปลั๊กอิน Yoast SEO สำคัญอย่างไร

ปลั๊กอิน Yoast SEO นับเป็น plugin สำคัญ ที่นักพัฒนาเว็บไซต์ทั่วโลกนิยมใช้ (จากสถิติพบว่าใช้มากกว่า 5 ล้านเว็บไซต์) เพราะสามารถส่งเสริมประสิทธิภาพในการวิเคราะห์แก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ ในเว็บไซต์ SEO ได้อย่างรวดเร็ว

ทำไมการทำ SEO ถึงนิยมใช้ปลั๊กอิน Yoast SEO

เหตุผลสำคัญที่ ปลั๊กอิน Yoast SEO ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะแม้แต่นักพัฒนาเว็บไซต์ SEO มือใหม่ ก็ศึกษาเรียนรู้การใช้งานได้ง่าย มีขั้นตอนการใช้งานที่ไม่ยุ่งยาก

เริ่มจากการคลิกไปที่ช่อง editor เพื่อให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์ SEO ใส่ข้อมูลหัวเรื่อง (Title) และบทสรุปย่อ (Meta Description) เพื่อให้ระบบปลั๊กอิน Yoast SEO เริ่มวิเคราะห์ หากปรากฏเป็นแถบสีเขียว แสดงว่ายังสามารถเพิ่มเติมข้อมูลลงไปได้อีก เพื่อทำให้อันดับ SEO ดีขึ้น แต่ถ้าเป็นสีแดงแสดงว่าเติมข้อมูลมากเกินไป ควรตัดออกบางส่วน

ในปลั๊กอิน Yoast SEO ยังมีช่องในการวิเคราะห์ keyword (จะใส่ได้ครั้งละ 1 คำ) เพื่อให้ระบบวิเคราะห์และแสดงเป็นตัวอักษรแนะนำว่าคีย์เวิร์ดที่ใช้มีความยาวเหมาะสมหรือยัง ควรใช้คีย์เวิร์ดซ้ำกี่ครั้งในแต่ละในเพจ จึงจะไม่ทำให้ระบบ algorithm ของ Google วิเคราะห์ว่าเป็นสแปม

ทั้งนี้ บทความ SEO ที่ดีเพิ่มอัตราการแข่งขันได้สูง ควรจะใช้คีย์เวิร์ดที่เป็น long-tailed keyword ที่มีความยาวและจำเพาะเจาะจง เช่น รองเท้ากีฬา ก็ควรระบุรุ่นและยี่ห้อลงไปด้วย ไม่ควรใช้แค่คำว่ารองเท้า เพราะจะมีประสิทธิภาพในการแข่งขันต่ำ

ความพิเศษของปลั๊กอิน Yoast SEO ยังรวมไปถึงการมีปุ่มให้กดสร้างไฮเปอร์ลิงก์ในช่วงของคำหนึ่ง ๆ เพื่อให้ผู้ที่สนใจอยากรู้รายละเอียด สามารถคลิกแล้วไปปรากฏที่อีกหน้าเพจหนึ่งได้อย่างอัตโนมัติ จึงเป็นเทคนิคการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเพจในเว็บไซต์ธุรกิจของตัวเอง สามารถเพิ่มค่า Traffic และโอกาสในการขายมากขึ้นด้วย

สิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุค 2019 คือการเชื่อมโยงลิงก์ไปสู่ช่องทางโซเชียลต่าง ๆ เพื่อการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง ปลั๊กอิน Yoast SEO มีปุ่ม social share ที่สามารถคลิก เพื่อส่งรูปภาพและบทความที่เลือกให้ไปปรากฏยังสื่อ Social Media เช่น Facebook Twitter ได้อย่างรวดเร็วทำความรู้จักปลั๊กอิน Yoast SEO สำคัญอย่างไร

แม้ว่า ปลั๊กอิน Yoast SEO จะมีข้อดีหลายข้อ แต่ก็มีข้อจำกัดที่นักพัฒนาเว็บไซต์ SEO ควรทราบ นั่นคือ ความแม่นยำในการวิเคราะห์บทความที่เป็นภาษาไทย ซึ่งเชื่อว่าจะมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป แต่โดยรวมแล้วเป็น plugin ที่คนทำเว็บไซต์ชาวไทยให้ความนิยม จากการทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ดีขึ้นได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ปลั๊กอิน Yoast SEO สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี เพียงเข้าไปที่ dashboard และกดปุ่ม add plugin หลังจากนั้น ให้พิมพ์หาชื่อ Yoast SEO แล้วติดตั้ง ก็จะมีเมนูปลั๊กอิน Yoast SEO ปรากฏขึ้นมาใน wordpress ซึ่งผู้เขียนบทความออนไลน์ SEO รู้จักกันดี

ด้วยความสะดวกและรวดเร็วของการใช้งานปลั๊กอิน Yoast SEO จึงไม่น่าแปลกใจที่ได้รับความนิยมมานาน ซึ่งผลลัพธ์ในการใช้งาน คือ ทำให้ผลการประมวลข้อมูลจาก algorithm ของ Google ดีขึ้น (ปรากฏในอันดับสูงขึ้นของหน้าสืบค้น) จึงทำให้ธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จในการแข่งขันทางการตลาดได้มากขึ้นนั่นเอง

การซื้อขายสินค้าออนไลน์ เป็นช่องทางสร้างรายได้

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่ ต้องรู้จัก SEO และวิธีการตรวจสอบ

การซื้อขายสินค้าออนไลน์ เป็นช่องทางสร้างรายได้ที่สำคัญให้กับพ่อค้าแม่ค้าคนรุ่นใหม่ เนื่องจากระบบการสื่อสารอินเทอร์เน็ตที่มีความรวดเร็วสูง ทำให้คนนิยมพกพาโทรศัพท์สื่อสารในการหาข้อมูล ติดตามแฟชั่น รวมถึงการสั่งซื้อสินค้าที่ตรงกับความต้องการตลอดเวลา

การจะทำให้ร้านค้าเป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว จึงต้องสร้างฐานลูกค้า ด้วยการทำ SEO ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าที่อยากประสบความสำเร็จต้องอ่านบทความนี้จนจบ

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการตลาดที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพียงอาศัยความสม่ำเสมอในการทำ นั่นคือ การพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Google กำหนด ใน 2 ส่วน คือ

1. On-Page SEO

คือ การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้สวยงาม แยกสินค้าและบริการเป็นหมวดหมู่และใช้งานง่ายทั้งในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือที่เรียกว่า Mobile Friendly รวมถึงการออกแบบโลโก้ฟอนต์ตัวอักษร ที่เป็นเอกลักษณ์ สร้างความโดดเด่นควบคู่กับการเลือกธีมสีสันที่สวยงาม และทำให้อ่านสบายตา

นอกจากนี้ การผลิตบทความ SEO ที่มีคุณภาพ ด้วยการใช้ Keyword ที่เหมาะสมยังทำให้ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น จากการค้นหาด้วย Keyword นั้น ๆ ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและมียอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

2. Off-Page SEO

เป็นการเชื่อมโยงลิงก์เว็บไซต์หลาย ๆ แห่งเข้าด้วยกัน ร้านค้าออนไลน์ควรที่จะแนะนำข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมากกว่าการเน้นขายสินค้า ตามห้องแชทหรือกลุ่มสังคมSocial ต่าง ๆ เช่น คุณขายเสื้อผ้าเด็ก ก็ควรแนะนำการเลือกเนื้อผ้าที่เหมาะกับเด็กในกลุ่มที่รวมผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมายไว้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่ ต้องรู้จัก SEO และวิธีการตรวจสอบ

เมื่อมีผู้ที่เห็นสาระในเนื้อความที่คุณนำไปโพสต์ และอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมหรืออยากสนับสนุนหรือซื้อสินค้าจากคุณ ก็สามารถที่จะให้ URL Address เพื่อนำมาซึ่งการซื้อขายได้

การตรวจสอบผลในการทำ SEO จะใช้ระยะเวลา 3 ถึง 6 เดือนขึ้นไป เนื่องจากเป็นการสะสมข้อมูลลงในระบบคอมพิวเตอร์ ที่ Algorithm หรือ AI อัจฉริยะของ Search Engine จะสำรวจและเก็บข้อมูลเป็นระยะ

การทดสอบผลการทำ SEO ที่ง่ายที่สุด คือการเข้า Google Search Console ที่ เชื่อมโยงกับระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ซึ่งจะเก็บค่าสถิติผู้ชมต่าง ๆ เมื่อติดตั้งแล้วก็สามารถล็อกอินเข้า Google Account เพื่อเช็คอันดับ SEO ซึ่งยังตรวจสอบได้อีกว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายใช้คำใดในการสืบค้นบ้าง รวมถึงจะแสดงค่า CTR หมายถึงอัตราการคลิก ที่คำนวณจากจำนวนการคลิกของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายต่อจำนวนครั้งที่เห็นเว็บไซต์ของคุณปรากฏในหน้าจอ จะทำให้เกิดการพัฒนาเว็บไซต์ได้ดีในระยะยาวยิ่งขึ้น

หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ทุกท่านใส่ใจการทำ SEO ตั้งแต่ต้นของการทำธุรกิจ และตรวจสอบการผลสำเร็จของการทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้อนาคตของธุรกิจเติบโตและยั่งยืนยิ่งขึ้น

รวบรวมเทคนิคการเลือกบริษัททำ SEO

วิธีการเลือกบริษัททำ SEO ที่กูรูแนะนำ

การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะส่งผลให้อันดับในการสืบค้นสูงขึ้น เมื่อพิมพ์ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดหนึ่ง ๆ ซึ่งบริษัทรับทำ SEO ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายแห่ง โดยที่มีระดับความน่าเชื่อถือและความสามารถที่แตกต่างกัน เราจึงได้รวบรวมเทคนิคการเลือกบริษัททำ SEO ที่กูรูแนะนำ มาฝากกันดังนี้

1. ความน่าเชื่อถือ

ควรเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่มีเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้และมีเอกสารการจดทะเบียนการค้ายืนยันไว้อย่างชัดเจน เพื่อการติดตามตัวผู้รับผิดชอบได้ กรณีที่งานมีปัญหา

2. มีรีวิวผลการใช้บริการ

เราสามารถเช็คการรีวิวผลใช้บริการด้วยชื่อบริษัท ชื่อผู้จดทะเบียนบริษัท เบอร์โทรศัพท์มือถือ อีเมล ฯลฯ ในช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ pantip หรือหาข้อมูลจากกลุ่ม facebook ที่มักมีการโพสต์แนะนำบอกต่อและเตือนภัยในการจ้างงานไว้ หากมีผลการรีวิวที่ดี ลูกค้าธุรกิจประทับใจ ก็จะเป็นแต้มต่อให้เลือกใช้บริการมากขึ้น

3. การันตีผลที่เป็นไปได้

การการันตีผลในการทำ SEO ควรจะสอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะการทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการทำ 3 ถึง 6 เดือนขึ้นไปสำหรับการสะสมข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ให้ algorithm วิเคราะห์ และไม่สามารถล็อกอันดับได้ หากบริษัทใดแจ้งว่าภายหลังการทำ SEO แล้วจะได้อันดับที่ 1 ต่อเนื่องไปยาวนาน ก็ให้ระวังไว้ก่อน เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงได้

4. ต้องรายงานผลสม่ำเสมอ

การทำ SEO ที่ดีต้องมีการอัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์เป็นประจำ ดังนั้นบริษัทที่รับจ้างทำ SEO จึงควรมีการแสดงผลการปฏิบัติงานเสนอต่อผู้จ้างทำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน เพื่อให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงและวางแผนการทำงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสร้างความมั่นใจได้ว่าผู้จ้างงานจะไม่สูญเงินโดยเปล่าประโยชน์

5. ทำตามกฎของ Google

บริษัทรับจ้างทำ SEO ที่ดี ต้องไม่ทำการละเมิดกฎ เช่น การทำ spam keyword คือการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำกันมาก ๆ ในบทความหนึ่ง ๆ เพื่อให้กันมีการค้นพบได้ง่ายขึ้น หรือ การละเมิดลิขสิทธิ์บทความและรูปภาพจากแหล่งข้อมูลอื่น ซึ่งหาก Google ตรวจพบจะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกแบนได้ วิธีที่ดีคือ การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย เชื่อมโยงลิงก์ที่ไม่ผิดพลาด และผลิตบทความที่มีความทันสมัยด้วยคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม

จะเห็นได้ว่า การจ้างบริษัททำเว็บไซต์ SEO เป็นบริการที่ช่วยประหยัดเวลาและทำให้หวังผลความสำเร็จทางธุรกิจได้ดี อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาวิธีการทำ SEO ในขั้นพื้นฐานเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ และทำให้สามารถเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่เหมาะสม จนได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจตามที่ต้องการได้

วิธีการเลือกบริษัททำ SEO ที่กูรูแนะนำ

สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำ SEO ให้เว็บไซต์เปิดใหม่

ปัจจุบันการซื้อขายสินค้าออนไลน์เป็นที่นิยมมากทั่วโลก ซึ่งเทคนิคการตลาดออนไลน์แบบ SEO เป็น หลักการที่ผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดแนะนำไว้อย่างมากมาย ซึ่งหลายท่านที่เพิ่งทำธุรกิจในโลกออนไลน์อาจจะยังสงสัยว่า SEO มีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไร เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจไว้ที่นี่ เพื่อให้นักธุรกิจออนไลน์คาดหวังผลจากการทำ SEO ได้อย่างเหมาะสม ดังนี้

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพจากการพัฒนาให้เว็บไซต์ใช้งานได้ง่ายผ่านระบบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือ เมื่อลูกค้าเข้ามายังหน้าเว็บ สามารถเห็นหมวดหมู่ของสินค้าและบริการประเภทต่าง ๆ ที่ชัดเจน ไม่มีโฆษณามาสร้างความรำคาญมากเกินไป และยังรวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพของบทความ SEO ในเว็บไซต์ ที่มีการเลือก Keyword จากการวิจัยว่าตรงกับการสืบค้นของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งเนื้อหาก็ต้องมีความทันสมัย ให้สาระและประโยชน์แก่ผู้อ่าน โดยไม่มีการคัดลอกที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของเว็บไซต์อื่น ๆ

การทำ Backlink มีประโยชน์กับเว็บไซต์มาก

นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคที่นิยมในปัจจุบัน คือ การทำ Backlink เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์ภายนอกกับเว็บไซต์ของธุรกิจคุณเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการขยายกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง โดยการที่คุณไปร่วมสนทนาในกลุ่มสนทนาตามเว็บบอร์ด เช่น Pantip แล้วแนบลิงก์เว็บไซต์ธุรกิจคุณไว้แก่ผู้ที่สนใจให้มาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าที่คุณจำหน่ายในเว็บไซต์ของคุณ เช่น คุณจำหน่ายรองเท้ากีฬานำเข้าจากต่างประเทศ ก็ควรเข้าไปอยู่ในกลุ่มสนทนาที่รวมผู้ชอบออกกำลังกายไว้ด้วยกัน หากมีคนที่สนใจรองเท้าวิ่งนำเข้าของแท้ ซึ่งคุณมีบริการด้านนี้อยู่ในเว็บไซต์ คุณก็สามารถที่จะให้ลิงก์ไว้ได้โดยไม่เป็นการผิดกฎของสังคมออนไลน์นั้น ๆ

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณมีโอกาสปรากฏสู่สายตากลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น เป็นที่จดจำและทำให้มียอดขายที่ดีได้ตามมา ทั้งนี้ ในด้านของข้อจำกัดของ SEO ก็มี นั่นคือต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลในระบบปฏิบัติการ เพื่อให้คอมพิวเตอร์อัจฉริยะ AI ของ Search Engine วิเคราะห์และประมวลผลอย่างสม่ำเสมอ อันดับของ SEO จึงไม่สามารถที่จะผูกขาดได้ คุณจึงจำเป็นจะต้องตื่นตัวและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้อันดับ SEO ของคุณนั้นคงอยู่ในอันดับต้น ๆ มีศักยภาพในการแข่งขันกับบริษัทอื่น

การทำ SEO จึงไม่สามารถที่จะหวังผลได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 2-3 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากคุณเพิ่งเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังมีข้อมูลในเว็บไซต์น้อย ก็จะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป เพื่อที่จะสะสมข้อมูลได้เพียงพอสำหรับการสร้างอันดับให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ

การคาดหวังผลจากการทำ SEO เว็บไซต์เปิดใหม่ต้องอาศัยความอดทนและเข้าใจธรรมชาติของการทำ SEO จึงจะมีเป้าหมายที่เหมาะสมในการทำเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ

การทำ Backlink มีประโยชน์กับเว็บไซต์มาก

ทำไมบางเว็บไซต์ทำ SEO แล้วยอดขายไม่เพิ่ม

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการตลาดที่ได้รับความนิยมมากทั่วโลกในปัจจุบัน เนื่องจากกฎเกณฑ์ของ Yahoo, Bing และ Google จะช่วยในการคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์ หากสามารถทำตามมาตรฐานของ Search Engine เหล่านี้ได้ก็ย่อมทำให้อันดับในการสืบค้นสูงขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้ามากขึ้นตามไปด้วย

แต่บางเว็บไซต์ที่ทำ SEO แล้วก็ยังว่าไม่เพิ่มยอดขาย อาจเกิดจากความผิดพลาดในหลายจุด ซึ่งเราได้รวบรวมมาไว้ที่นี่แล้ว

1. เลือก Keyword ไม่เหมาะสม Keyword ที่ดีควรจะเลือกจากการวิเคราะห์ตามสถิติของ Search Engine ว่าคำที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจคุณนิยมใช้คืออะไร เช่น หากคุณต้องการขาย สินค้าให้แก่ลูกค้าชาวจีน ก็ควรจะต้องเลือกใช้ Keyword ที่ชาวจีนนิยมใช้ใน Search Engine อย่าง Bing มากกว่า Yahoo, Bing และ Google เป็นต้น การใช้ Keyword ที่ไม่เหมาะสม จะทำให้บทความของคุณไม่ได้รับความสนใจจากผู้อ่านเท่าที่ควร จึงทำให้อันดับ SEO ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนั่นเอง

2. ขาดการเชื่อมโยง Backlink ที่มีประสิทธิภาพ การแนะนำบอกต่อเว็บไซต์ของคุณให้โลกออนไลน์รับรู้ เพื่อขยายฐานลูกค้า ควรจะต้องแสดงถึงภูมิรู้อย่างแท้จริงและมีความจริงใจในการให้ข้อมูล โดยการร่วมอยู่ในกลุ่มสนทนาต่าง ๆ เช่น Pantip หรือกลุ่มใน Facebook เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการอย่างถูกต้อง หากมีผู้ซักถามหรืออยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม คุณจึงควรให้ลิงก์ไว้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจคลิกเข้ามายังเว็บไซต์คุณ การที่ไปแปะลิงก์ โดยไม่ได้มีการพูดคุยหรือแสดงความจริงใจจะทำให้มีโอกาสถูกแบนหรือบล็อกจากห้องสนทนาเหล่านั้น และทำให้เกิดภาพลักษณ์ไม่ดีต่อแบรนด์ด้วย

3. ขาดประสบการณ์ในการเขียนบทความ โดยเฉพาะเทคนิคการเขียนที่ไม่เน้นการขายมากเกินไป แสดงข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น หากคุณขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ก็ควรให้ข้อมูลสเปคเครื่องแต่ละรุ่นที่ชัดเจน เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยได้อย่างเป็นกลาง จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเป็นมืออาชีพและไว้วางใจเว็บไซต์ จนตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าจากเว็บไซต์คุณ

นอกจากเรื่องของเว็บไซต์แล้ว การมีบริการหลังการขายที่ดีและมี Chatbot ช่วยเหลือตอบคำถามผู้ใช้บริการเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว จะเสริมภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความมั่นใจในการใช้บริการในระยะยาว โดยเฉพาะหากเป็นสินค้าที่อาจชำรุดหรือต้องเปลี่ยนอะไหล่หลังการใช้งานเป็นระยะ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ในครัวเรือน เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO ให้มีคุณภาพ เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจในรายละเอียด และเลือกทีมงานที่มีความสามารถเฉพาะด้านเพื่อให้ได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพมารวมกันให้เว็บไซต์คุณตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้ทำธุรกิจออนไลน์นำไปปรับใช้เพื่อให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น

วิธีการตลาดที่ได้รับความนิยมมากทั่วโลกในปัจจุบัน

เทคนิคการทำ Content Marketing ที่เป็นพื้นฐานของ SEO

เมื่อพูดถึงการทำตลาดออนไลน์ด้วย Content Marketing เป็นเทคนิคพื้นฐานการทำ SEO เพื่อให้มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจเกิดใหม่ที่ต้องการเปิดตัวให้คนสนใจติดตามทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น รู้ว่ามีจุดดีตรงไหนทำให้ตัดสินใจซื้อได้ไม่ยาก ด้วยเหตุนี้ การทำเว็บไซต์ให้ดูดีมีข้อมูลน่าสนใจและเปิดให้คนเข้ามาค้นหาสิ่งที่ต้องการสะดวกสบาย ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ SEO และการเขียนคอนเทนต์ที่น่าอ่านก็มีความสำคัญต่อการสร้างแบรนด์ด้วยเช่นกัน บทความควรนำเสนอข้อมูลอย่างชัดเจนตรงประเด็น อธิบายเหตุผลว่าทำไมควรซื้อผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการนั้น การโพสต์เนื้อหาในบล็อก เว็บไซต์ และแบ่งปันบนโซเชียลมีเดียช่วยให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายอย่างรวดเร็วและเห็นผล

เนื้อหาของบทความเป็นส่วนสำคัญของ SEO

การเขียนเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญของ การทำ SEO ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาและมีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google ด้วย ทั้งนี้เทคนิคการเขียนเนื้อหาจะต้องมีวิธีที่ถูกต้อง โดยเริ่มจากการแนะนำตัวอธิบายข้อมูลสินค้าหรือบริการให้ชัดเจน มีความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง ถ้าเริ่มต้นได้ดีก็ไปได้สวย นอกเหนือจากมุ่งเป้าหมายหลักคือผู้ซื้อที่มีศักยภาพแล้ว คอนเทนต์ที่ดียังเพิ่มอัตราการเข้าชมและเพิ่มยอดขายของคุณได้เช่นกัน ยิ่งมีคนเข้าดูมากเว็บไซต์ก็จะปรากฏในผลการค้นหาบ่อยครั้งขึ้นและสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ของคุณมากขึ้น

เนื้อหาของ Content Marketing ต้องมีโปรไฟล์น่าสนใจ แนะนำตัวให้จำง่ายและไม่ซ้ำใคร เขียนบทความอย่างน้อย 4-5 เรื่องทำให้แบรนด์มีตัวตนจับต้องได้ หลังจากโพสต์บทความในเว็บไซต์ บล็อก และเฟซบุ๊กและเริ่มมีคนสนใจติดตามแล้ว ทำการอัปเดตข้อมูลโดยเขียนบทความอื่น ๆ อาจจะเขียนเกี่ยวกับหัวข้อที่คล้ายกันแต่นำเสนอในมุมอื่นหรือเพิ่มหัวข้อย่อย สามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อหาและโพสต์บทความใหม่ได้ตลอดเวลาเพื่อให้เว็บไซต์มีการเคลื่อนไหวและคนติดตามอ่านต่อเนื่อง เพราะเนื้อหาคอนเทนต์ที่มีคุณภาพนั้นมีความสำคัญในการทำ SEO ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งคือการใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นคำที่ใช้ค้นหาในกูเกิลทำให้ค้นหาสินค้าและบริการง่ายขึ้น แต่การใส่คีย์เวิร์ดจะต้องไม่มากเกินไปจนทำให้อ่านบทความไม่รู้เรื่องและทำลายคุณภาพของ Content Marketing

นอกจากการเขียนเนื้อหาจะมีคอนเซปต์ที่ชัดเจนและเขียนน่าอ่านดึงดูดคนให้คลิกเข้ามาดูเว็บบ่อย ๆ แล้ว ควรออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้ง่าย โครงสร้างเว็บไม่ซับซ้อน โหลดเร็ว รูปแบบบทความจะต้องอ่านบนหน้าจอมือถือขนาดเล็กได้สะดวก มีรูปภาพประกอบบทความที่สวยงามหรือคลิปวิดีโอสั้น ๆ น่าสนใจและไม่ทำให้เว็บโหลดช้า ทำให้ดูไม่น่าเบื่อเพราะมีแต่ตัวหนังสืออย่างเดียว ยิ่งคนติดใจเว็บมากเท่าไรก็มีโอกาสจะกลับมาดูบ่อยและแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียบอกต่อให้คนอื่น ๆ เข้ามาดูเว็บไซต์เช่นกัน สิ่งสำคัญคือการติดตามผลลัพธ์ว่าคนเข้ามาเยี่ยมด้วยความสนใจเพิ่มตัวเลขผู้ชมมากแค่ไหน มียอดเพิ่มขึ้นหรือไม่ แสดงให้รู้ว่าคีย์เวิร์ดตรงกับการค้นหาของผู้บริโภคและประเมินได้ว่าการทำ SEO ประสบความสำเร็จมากเพียงใด

เนื้อหาของบทความเป็นส่วนสำคัญของ SEO

จะทำ SEO ต้องใช้ทุนเท่าไหร่ คุ้มค่าไหม

จะทำ SEO ต้องใช้ทุนเท่าไหร่ คุ้มค่าไหม?

ในปัจจุบันการทำ SEO เข้ามามีบทบาทในการทำการตลาดโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการโฆษณาอีกช่องทางหนึ่งที่ใช้เงินลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งวิธีการทำ SEO นั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย หากใครที่รู้วิธีในการทำอย่างดีอยู่แล้ว ก็สามารถลงมือทำเองโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท เป็นการลดต้นทุนไปได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ต้องทำใจแลกกับเวลาที่เสียไปด้วย แต่ถ้าทำไม่เป็นหรืออยากเอาเวลาไปสร้างสรรค์ผลงานอื่น ก็มีบริษัทที่รับทำเกี่ยวกับ SEO ไม่น้อย ซึ่งอัตราราคาก็แตกต่างกันดังนี้

ราคาการทำ SEO โดยประมาณ

ในหลาย ๆ บริษัทที่รับทำ SEO จะคิดอัตราราคาเพียงหลักพันบาทต่อเดือนเท่านั้น และก็ยังมีการการันตีด้วยว่าหน้าเว็บไซต์จะถูกดันขึ้นเป็นอันเท่าไหร่ภายในหนึ่งเดือน หากไม่เป็นไปตามนั้นก็ไม่คิดเงินอีกด้วย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเป็นการแข่งขันในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ของผู้ประกอบการที่ลงทุนน้อยแต่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีนั่นเอง

หากใครที่มีแพลนจะทำ SEO ให้ติดอันดับแบบยาว ๆ หลายเดือนจะใช้วิธีเหมาจ่ายก็ได้ โดยปกติอัตราราคาจะอยู่ที่หมื่นต้น ๆ ต่อ 6 เดือน เฉลี่ยเป็นเดือน ๆ แล้วก็สามารถประหยัดงบประมาณได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งหากคิดจะทำ SEO ก็ขอแนะนำว่าให้ทำแบบระยะยาวจะดีกว่า เพราะหากทำต่อเนื่องเว็บไซต์จะเป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถืออย่างมาก สามารถสร้างลูกค้าทั้งหน้าใหม่และรักษาลูกค้าหน้าเก่าได้เป็นอย่างดี

ความคุ้มค่าของการทำ SEO

ในปัจจุบันนี้หากเทียบการทำ SEO กับการโฆษณาในช่องทางอื่นที่ต้องใช้เงินหลักแสนหลักล้าน บางครั้งก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับการทำ SEO เลย เพราะการทำ SEO คือการทำการตลาดที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด โดยอาศัย Keyword ที่ผู้คนนิยมใช้ในการค้นหาข้อมูลกันมากที่สุด อีกทั้งการทำ SEO ยังเป็นการสร้าง Content ดี ๆ มีคุณภาพ ลูกค้าจะได้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มีผู้ติดตามเว็บไซต์อย่างเหนียวแน่นอีกด้วย

ไม่ว่าจะมองในมุมไหนการทำ SEO ก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งยวด ในกรณีที่ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการโฆษณามากกว่าหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ก็ควรจะมีการทำ SEO เป็นหนึ่งในวิธีการโฆษณาด้วย เพราะด้วยเหตุผลในเรื่องของราคาค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่าที่จะได้รับจากการทำ SEO ก็ต้องยอมรับว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนเป็นอย่างมาก ยอมเสียเงินหลักพันได้ผลตอบรับหลักล้าน ดีกว่าเสียเงินหลักล้านแต่ได้ผลลัพธ์หลักพัน

ราคาการทำ SEO โดยประมาณ