การทำ SEO ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะติดอันดับการค้นหาบน Google

การทำ SEO ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะติดอันดับการค้นหาบน Google

SEO (Search Engine Optimization) คือวิธีอินเทรนด์ที่ทำให้บทความบนเว็บไซต์หรือเพจของเราไปติดอันดับในการค้นหาบนหน้า Google โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเหมือนการโฆษณาและได้ยอดคลิกที่เป็นธรรมชาติอีกด้วย แต่นอกจากวิธีการทำ SEO แล้ว บางคนอาจมีคำถามว่าแล้วนานไหมกว่าที่บทความของเราจะไปติดอันดับการค้นหาเหมือนกับเว็บอื่น ๆ วันนี้เราจึงจะมาไขข้อสงสัยให้นักทำ SEO มือใหม่ได้รู้ไปพร้อมกัน

ใช้เวลานานไหมกว่าบทความของเราจะติดอันดับการค้นหาบนหน้า Google

แม้การเขียน SEO จะเป็นวิธีที่เสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่ก็ต้องแลกมากับการใช้เวลาในการทำให้บทความของเราติดอันดับด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้อาศัยประสบการณ์ในการวางแผน ศึกษากลุ่มเป้าหมาย คีย์เวิร์ด คู่แข่งและการวิเคราะห์ของเครื่องมือการค้นหาของ Google เพราะแน่นอนว่าการจะไปแทรกตัวในอันดับ 1 ถึง 10 ที่เขาติดอันดับหน้าแรกอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เนื่องจากบทความของเขามียอดคลิกจำนวนมากและมีความน่าเชื่อถือที่บทความของเรายังไม่ได้ไปถึงจุดนั้น ดังนั้นมือใหม่จะต้องคิดวิเคราะห์ในการวางแผนทำ SEO ให้ดี

แต่อย่างไรก็ตามการทำ SEO ย่อมมีความยั่งยืนและดีกว่าการซื้อโฆษณาอย่างแน่นอน เพราะ SEO คือการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการรังสรรค์บทความขึ้นมาโดยอาศัยคีย์เวิร์ดที่เกิดจากการศึกษาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและเทคนิคในการวางแผน สิ่งที่ได้ตอบแทนมาก็คือยอดคลิกที่เป็นธรรมชาติหรือที่เราเรียกว่า Organic reach ที่จะช่วยให้เราสามารถติดอันดับการค้นหาได้นานและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งต่างจากการซื้อโฆษณาหรือยอดคลิกที่แลกมากับเงินที่เรียกว่า Paid reach แม้การซื้อโฆษณาจะช่วยให้เราเห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นทันใจ แต่ก็ไม่สามารถนำไปสร้างดอกออกผลได้ในระยะยาวและทำให้เว็บไซต์เราตกอันดับได้ง่าย ๆ

แต่ก็ใช่ว่าการโฆษณาจะไม่มีข้อดี เพราะอีกทางหนึ่งสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจก็สามารถใช้การซื้อโฆษณาก่อนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเบื้องต้น และใช้เทคนิคการเขียนบทความ SEO ในภายหลังเพื่อทำให้เพจและเว็บไซต์ดำเนินไปได้ในระยะยาวนั่นเอง โดยปกติแล้วการทำ SEO จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อใช้เวลา 3-4 เดือนขึ้นไป และไม่สามารถรับประกันได้ว่าบทความของเราจะติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกบน Google ได้หรือไม่และเมื่อไหร่ ดังนั้นเจ้าของธุรกิจจะต้องศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายและคีย์เวิร์ดเพื่อตีโจทย์ให้แตกและสร้างบทความที่เป็นที่ต้องการในกลุ่มค้นหานั้น ๆ ท้ายที่สุด หากเป็นบทความที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ก็จะได้ขึ้นอันดับการค้นหาดังที่คาดหวัง

ถึงแม้การแข่งขันจะสูง แต่โอกาสบทความของเราจะติดอันดับได้ก็มีเช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องใช้เวลา ประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์และเทคนิคในการสร้างสรรค์บทความให้ตรงต่อความต้องการของผู้ค้นหาและเครื่องมือวิเคราะห์การค้นหาของ Google แม้จะเป็นเรื่องไม่ง่ายดาย แต่ก็ไม่ไกลเกินความสามารถ

หาเงินด้วยการเขียนบล็อก ปี 2021 พร้อมแนะ SEO สำหรับผู้เริ่มต้น

หาเงินด้วยการเขียนบล็อก ปี 2021 พร้อมแนะ SEO สำหรับผู้เริ่มต้น

แม้ว่าในปี 2021 เทรนด์การทำ VDO Content จะเป็นที่นิยมมากกว่าการเขียนบทความ แต่ต้องยอมรับว่าการเขียนบทความยังคงเป็นช่องทางที่สามารถสร้างรายได้ให้กับ Blogger หน้าใหม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้หลายคนขาดรายได้และต้องการหาอาชีพเสริมที่สามารถปรับช่วงเวลาการทำงานได้ด้วยตัวเอง โดยในบทความนี้จะแนะนำวิธีเริ่มต้นสร้างรายได้จากการเขียนบล็อกสำหรับผู้เริ่มต้น พร้อมแนะเทคนิค SEO เพื่อให้ติดอันดับในผลการค้นหาหน้าแรกของ Google ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกการหารายได้ให้กับคุณ

1.เลือกหมวดหมู่ ก่อนการลงมือสร้างบล็อก ควรเริ่มจากการเลือกหมวดหมู่ที่จะเขียนก่อน โดยการเลือกหมวดหมู่ในการเขียนบล็อกสามารถเลือกได้ทั้งการเขียนบล็อกจากความรู้ความสามารถของตัวเอง หรือเลือกจากความสนใจ หรืองานอดิเรกของผู้เขียน เพราะจะทำให้นักเขียนบล็อกมือใหม่สามารถเริ่มต้นได้ทันที มีความสนุกในการเขียน และได้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นด้วย

2.เลือกแพลตฟอร์มที่จะใช้ในการเผยแพร่ สำหรับการเขียนบทความสร้างรายได้ในอดีตอาจต้องมีความรู้เรื่องการสร้างเว็บไซต์ แต่ในปี 2021 นี้ผู้เริ่มต้นสามารถทำบล็อกสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มที่ให้บริการฟรีได้โดยไม่ต้องมีความรู้ในการเขียนเว็บไซต์ เช่น Facebook, Twitter, Instagram หรือเว็บไซต์สำเร็จรูป เป็นต้น ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการจดโดเมนเนม, การเลือก Hosting ต่าง ๆ เพียงแต่ควรคำนึงถึงลักษณะการใช้งานของกลุ่มคนในแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย เช่น การเลือก Instagram ในการทำบล็อก ควรเน้นการใช้รูปภาพที่มีความน่าสนใจเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายและแทรกคำอธิบายด้วยบทความที่ไม่ยาวจนเกินไป เป็นต้น

3.เริ่มลงมือสร้างบล็อก เมื่อสามารถตัดสินใจได้แล้วว่าต้องการสร้างบล็อกเกี่ยวกับอะไรและเลือกแพลตฟอร์มได้แล้ว ก็สามารถลงมือสร้างบล็อกได้ทันที แต่ละแพลตฟอร์มจะมีวิธีการแตกต่างกัน แนะนำให้ศึกษาจากผู้อื่นที่สอนไว้ตาม Youtube หรืออ่านจากคำแนะนำของแพลตฟอร์มนั้น ๆ

4.เขียนบทความ เคล็ดลับสำคัญที่ช่วยให้บล็อกเป็นแหล่งสร้างรายได้สำหรับมือใหม่ นักเขียนควรโพสต์บทความอย่างสม่ำเสมอและหมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการทำ Search Engine Optimization (SEO) เพื่อผลักดันให้เว็บบล็อกถูกผู้คนค้นพบได้มากขึ้นและมีผู้ชมใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยหลักการขั้นแรกจะเป็นเรื่องของการเลือกคีย์เวิร์ดหรือคำที่มีกลุ่มเป้าหมายค้นหาบ่อยมาแทรกลงในบทความ โดยใช้เครื่องมือ Keyword Research ตรวจสอบปริมาณการค้นหาและความยากง่ายในการแข่งขัน หลังจากนั้นจึงสร้างสรรค์บทความที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน โดยแทรกคีย์เวิร์ดที่หวังผลในส่วนต่าง ๆ คือ Title, Meta Description รวมถึงในเนื้อหาและหัวข้อสำคัญส่วนต่าง ๆ โดยทำบทความเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

5.หารายได้จากบล็อก เมื่อสร้างบล็อกและอัปเดตบทความไปได้ระยะหนึ่ง บล็อกเหล่านี้จะสามารถสร้างรายได้จากหลายช่องทาง เช่น การโพสต์ขายสินค้าของตัวเองบนบล็อก หรือการรับรีวิวสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้องกับบล็อก รวมถึงการให้พื้นที่วางโฆษณาบนบล็อก เป็นต้น

การเริ่มต้นสร้างบล็อกเพื่อสร้างรายได้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมือใหม่อีกต่อไป เพียงแต่ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ในการทำ SEO บนแพล็ตฟอร์มที่เลือกเพื่อปรับให้บล็อกมีคุณภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์จากกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยให้ตั้งเป้าหมายในการติดอันดับหน้าแรกของผลการค้นหา หากทำได้ก็จะช่วยให้มีผู้ชมมากขึ้น เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ตามมาอย่างไม่ขาดสาย

ทำความรู้จัก On-page SEO และ Off-page SEO พร้อมประโยชน์ดี ๆ สำหรับธุรกิจ

ทำความรู้จัก On-page SEO และ Off-page SEO พร้อมประโยชน์ดี ๆ สำหรับธุรกิจ

ในยุคปัจจุบันที่เทรนด์การตลาดออนไลน์มาแรงสุด ๆ ทำให้ไม่มีนักการตลาดออนไลน์คนใดไม่รู้จักการทำ SEO หรือการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของผลการค้นหาของ Search Engine การทำ SEO จึงต้องอาศัยการออกแบบเว็บไซต์ให้สมบูรณ์แบบทั้งปัจจัยภายใน หรือ On-page และปัจจัยภายนอก หรือ Off-page ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องดำเนินควบคู่ไปด้วยกัน เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรก และประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของธุรกิจ

ทำความรู้จัก On-page SEO และ Off-page SEO พร้อมประโยชน์ดี ๆ เพื่อธุรกิจ

On-page SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ธุรกิจเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดี อีกทั้งยังเป็นการทำให้ Search Engine รู้ว่าเว็บไซต์เรานั้นเกี่ยวกับอะไรหรือให้บริการอะไรบ้าง โดยการทำ On-page มีองค์ประกอบหลายอย่างและอาศัยปัจจัยภายในทั้งหมด ยกตัวอย่าง

  • คีย์เวิร์ดต้องใช่ : วิเคราะห์คีย์เวิร์ดและเลือกใช้คีย์เวิร์ดตรงตามการค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย
  • คอนเทนต์ต้องดี : ออกแบบคอนเทนต์ให้มีคุณภาพ ความยาวเหมาะสม ตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และอย่าลืมแทรกคีย์เวิร์ดลงในคอนเทนต์
  • ตั้งชื่อรูปภาพให้ระบบอ่านออก : ตั้งชื่อภาพให้ Search Engine อ่านออก แทนการตั้งชื่อด้วยตัวเลขหรือข้อความที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ
  • URL เป็นมิตร : ไม่ใช้สัญลักษณ์ที่อ่านไม่ออก เพราะนอกจากช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือแล้ว ยังทำให้ Search Engine เข้าใจเรื่องราวในเว็บไซต์คุณอีกด้วย

สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ยกตัวอย่างเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายองค์ประกอบเพื่อการทำ On-page ให้สมบูรณ์แบบ โดยประโยชน์ของการทำ On-page คือ ทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่าย และทำให้ Search Engine เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณกำลังนำเสนอเกี่ยวกับอะไร และแน่นอนว่าถ้าติดอันดับหน้าแรกก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาและเจอเว็บไซต์ของคุณก่อนเว็บไซต์อื่นนั่นเอง

เมื่อ On-page คือการปรับแต่งปัจจัยภายในเว็บไซต์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น Off-page ก็คือการพึ่งพาปัจจัยภายนอกเพื่อเพิ่มคะแนนแก่เว็บไซต์ โดยวิธีที่นิยมคือการทำ Backlink หรือการไปฝากลิงก์กับเว็บไซต์อื่น โดยหากกลุ่มเป้าหมายเห็นว่าเว็บไซต์หรือคอนเทนต์เราน่าสนใจก็จะคลิกลิงก์มายังเว็บไซต์เรา เป็นผลให้เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น และหากมีจำนวนคลิกเข้าชมเยอะขึ้น แน่นอนว่า Search Engine จะมองว่าเว็บไซต์เราน่าเชื่อถือและจะทำให้อันดับดีขึ้นนั่นเอง

เพราะการทำ Backlink จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ และยังทำให้ Search Engine เชื่อถือ ทำให้นักการตลาดออนไลน์หลายคนเลือกใช้วิธีทำสแปมเพื่อไต่อันดับ ซึ่งถือเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะ Search Engine สามารถตรวจจับความผิดปกติของลิงก์ได้ และหากจับได้ขึ้นมาเว็บไซต์ของคุณจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นหน้าแรกของ Search Engine อีกเลย

เมื่อ On-page และ Off-page เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินไปคู่กันแล้ว นักการตลาดออนไลน์จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่ Search Engine อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคะแนนให้แก่เว็บไซต์ และทำให้เว็บไซต์ของคุณก้าวสู่หน้าแรกของ Search Engine เป็นผลให้กลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามายังเว็บไซต์มากขึ้น เพิ่มโอกาสการซื้อสินค้าและบริการ

บอกต่อ 5 เทคนิคพื้นฐานสำหรับสร้างคอนเทนต์ให้อันดับพุ่งบน Google

บอกต่อ 5 เทคนิคพื้นฐานสำหรับสร้างคอนเทนต์ให้อันดับพุ่งบน Google

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแวดวงการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน การได้พื้นที่โฆษณาบน Google ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจนั้น ๆ เข้าถึงลูกค้าทีเป็นกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ซึ่งหลายธุรกิจก็เลือกที่จะจ่ายเงินซื้อโฆษณากับ Google หรือที่เรียกว่า Google Adwords แต่ก็มีอีกหลายเจ้าที่เลือกจะทำ SEO เพื่อหวังให้เว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ของตัวเองได้อันดับดี ๆ ในหน้าค้นหาของ Google โดยไม่เสียเงิน ซึ่งการจะทำ SEO ให้ได้อันดับที่ต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องอาศัยเทคนิคหลายอย่าง ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาบอกต่อ 5 เทคนิคพื้นฐานสำหรับสร้างคอนเทนต์ให้อันดับพุ่งบน Google

1.การตั้งชื่อหัวข้อ-ชื่อเรื่อง
สำหรับการเลือกชื่อหัวข้อหรือชื่อเรื่องของคอนเทนต์ SEO ควรตั้งชื่อให้สอดคล้องและครอบคลุมเนื้อหาที่อยู่ภายในคอนเทนต์นั้น ๆ และที่สำคัญต้องมี “คีย์เวิร์ด” ที่เราเลือกใช้ในเนื้อหาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเรื่องด้วย เช่น หากเลือกใช้คีย์เวิร์ดว่า “รองเท้าวิ่งออกกำลังกาย” ในส่วนของเนื้อหา เราก็ควรต้องมีคีย์เวิร์ดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเรื่องด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ Google จะจัดให้เว็บไซต์ของเราได้อันดับดี ๆ แล้ว ยังช่วยให้คอนเทนต์หรือบทความของเราสื่อสารกับผู้อ่านได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

2.Meta Description
เป็นส่วนที่คล้ายกับบทเกริ่นนำสั้น ๆ ที่อธิบายว่าบทความของเราเกี่ยวเรื่องอะไร หรืออาจจะเป็นการสรุปใจความสั้น ๆ กระชับ แต่น่าสนใจ เพื่อสร้างความดึงดูดให้ผู้ที่เข้ามาอ่าน และข้อสำคัญก็คือ ควรจะมี คีย์เวิร์ด ที่เราใช้ในเนื้อหาอยู่ในส่วนของ Meta Description ด้วย

3.ลิงค์เชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์
นอกจากการมีคอนเทนต์หรือเนื้อหาที่สดใหม่มีคุณภาพแล้ว เรายังควรจะสร้างลิงค์เชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ในจำนวนพอเหมาะ ไม่ถี่เกินไปจนทำให้ผู้อ่านรำคาน ส่วนใหญ่มักเป็นลิงค์ที่นำผู้อ่านไปยังหน้าสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่กำลังผ่าน เช่น หากทำธุรกิจเกี่ยวของเล่นเด็ก เราอาจจะสร้างคอนเทนต์หรือบทความแนะนำของเล่นที่เหมาะกับเด็กวัยต่าง ๆ โดยมีลิงค์ที่จะนำผู้อ่านไปยังหน้าเลือกซื้อสินค้าของเราปะปนอยู่ในเนื้อหานั่นเอง

4.การใช้คีย์เวิร์ด
แม้ว่าหัวใจสำคัญของการทำ SEO คือ การใช้ คีย์เวิร์ด แต่การใช้คำซ้ำกันบ่อย ๆ ในบทความจนดูผิดธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ เพราะ Google จะมองว่าเป็น “สแปม” ทางที่ดีควรใช้คำตามความเหมาะสม นอกจากชื่อเรื่อง ชื่อหัวข้อ และ Meta Description แล้ว ในส่วนของเนื้อหาไม่ควรใช้คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ กันเกิน 2-3 ครั้ง

5.การใช้รูปภาพ
การใช้รูปภาพในเว็บไซต์ควรใช้รูปที่มีความสดใหม่ ไม่ควร Copy รูปภาพที่ของเว็บไซต์อื่นใน Google หากเป็นรูปที่เราถ่ายด้วยตัวเองได้จะยิ่งดี เพราะการใช้รูปภาพที่อยู่ใน Google นอกจากอาจทำให้มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ตามมาแล้ว ยังส่งผลต่อการจัดอันดับอีกด้วย

SEO voice search มาแน่ เตรียมคอนเทนต์อย่างไรให้หาง่าย

SEO voice search มาแน่ เตรียมคอนเทนต์อย่างไรให้หาง่าย

โลกยุคดิจิทัล การทำ SEO เพื่อส่งเสริมการทำการตลาดออนไลน์ หรือ Digital Marketing เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเครื่องมือค้นหา เช่น Google มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอันทันสมัยที่มาพร้อมปัญญาประดิษฐ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุมและครบวงจรมากขึ้น ซึ่งการตลาดออนไลน์โดยเฉพาะการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ที่หวังผลบน Google นั้น สามารถทำได้หลายวิธี และ Voice Search ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่กำลังเป็นเป็นที่นิยมมากขึ้น และเราควรเตรียมคอนเทนต์อย่างไร ให้ค้นหาได้ง่ายและสอดคล้องกับหลักการของ SEO มากที่สุด

หลายปีมานี้กระแสการทำธุรกิจออนไลน์มีการปรับตัวในทุกทิศทุกทางเนื่องจากภาวะการแข่งขันทางการตลาดที่สูงมากขึ้น ความต้องการที่ไม่รู้จบของผู้ซื้อ นำมาซึ่งการพัฒนาระบบการค้นหาสิ่งของ เรื่องราว บุคคลและสินค้าด้วยเสียงหรือ Voice Search ซึ่งได้ถูกพัฒนาขึ้นด้วยความฉลาดในระบบ AI ของ Google ช่วยให้ผู้ซื้อทั่วโลกสามารถใช้ภาษาต่าง ๆ ในการค้นหาสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาไทย โดยข้อมูลของ Google ในปี 2016 ระบุอัตราการเติบโตของการใช้ Voice Search อยู่ที่ 20% จนกระทั่งในปี 2020 พบว่าความนิยมในการค้นหาด้วยเสียงเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของการค้นหาทั้งหมด นั่นย่อมเป็นการการันตีได้ว่า Voice Search เป็นเทรนด์แห่งยุคสมัยปัจจุบัน

ดังนั้นธุรกิจออนไลน์ และการทำการตลาดออนไลน์จึงควรเตรียมพร้อมดังต่อไปนี้

1.เรียนรู้และทำความเข้าใจในความแตกต่างที่แท้จริง ระหว่าง Text Search และ Voice Search ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เช่น การค้นหาด้วย Text Search จะสั้นกว่า โดยเฉลี่ยใช้คำตั้งแต่ 1-3 คำเป็นอย่างต่ำ แต่สำหรับการค้นหาแบบ Voice Search นั้นจะใช้การค้นหาเป็นคำหรือประโยคที่ยาวกว่า Text Search ตัวอย่างเช่น เราจะพิมพ์หาร้านกาแฟ เริ่มจาก “กาแฟสดใกล้บ้าน” สำหรับ Voice Search เราสามารถพูดเป็นประโยคยาว ๆ ได้เช่น “ ร้านกาแฟสดที่ใกล้บ้าน…ในหมู่บ้าน….” ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งทำให้ค้นหาได้ละเอียดมากขึ้นในครั้งเดียว

2.การเขียน Content เพื่อรองรับ Voice Search จำเป็นต้องเขียนแบบประโยคสนทนา (Conversation) ที่สามารถตอบคำถามที่ผู้ซื้อให้ความสนใจได้อย่างชัดเจน และเข้าใจง่าย ยกตัวอย่างด้วยเช่น “กาแฟร้าน A มีโปรชันมั้ย” หรือ “รองเท้าวิ่งยี่ห้อ B ดีไหม” เป็นต้น ซึ่งฟังดูคล้ายกับการตั้งคำถามของผู้ซื้อ แล้วจึงทำบทความที่นำประโยคดังกล่าวสอดแทรกไปกับเนื้อหาพร้อมกับให้คำตอบที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อ

3.กำหนดโครงสร้างของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ของสินค้าและบริการให้ชัดเจน เพื่อเอื้อต่อระบบ Search Engine ให้สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับประโยคในการค้นหาผ่าน Voice Search ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่กำลังเปลี่ยนไปสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ซึ่งพบว่าคนส่วนใหญ่พึ่งพาการค้นหาด้วยเสียงมากขึ้นระหว่างการออกกำลังกาย การทำอาหาร การขับรถ อาบน้ำ และทำรายงาน ดังนั้น คอนเทนต์ที่ต้องการเน้นเรื่อง SEO จึงต้องเขียนให้ครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่กว้างและหลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย

ในอนาคต Voice Search อาจได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้มีความสามารถในการจดจำเสียงของผู้ใช้บริการได้ ทั้งนี้เพื่อให้การค้นหาสินค้าและหรือบริการได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและตรงประเด็นมากที่สุด

SEO กับ SEM จำเป็นต้องทำคู่กันหรือไม่

SEO กับ SEM จำเป็นต้องทำคู่กันหรือไม่

ในปัจจุบัน ธุรกิจออนไลน์ทุกประเภทหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการทำ SEO และ SEM ซึ่งหลายคนอาจสงสัยในความหมายและความแตกต่าง ทั้งมีคำถามว่าจำเป็นต้องทำสองวิธีนี้ควบคู่กันหรือไม่ เรามาดูข้อมูลที่น่าสนใจกัน ดังนี้

SEO
ย่อจากคำว่า search engine optimization เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ออนไลน์ในหลากหลายด้าน เช่น การวางโครงสร้างคอลัมน์ เมนู ระบบอีคอมเมิร์ซ การใส่เนื้อหาและมัลติมีเดีย การเชื่อมโยงลิงก์เพจ ฯลฯ เพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการวิเคราะห์ของ Google ในการเปรียบเทียบมาตรฐานระหว่างเว็บไซต์ ที่ใช้คีย์เวิร์ดสืบค้นเดียวกัน เว็บไซต์ที่มีคะแนนคุณภาพสูงกว่าจะได้โอกาสปรากฏในอันดับด้านบนของ Google จึงส่งผลลัพธ์ให้ได้รับยอดการขายสินค้าที่ดีจากลูกค้าที่เชื่อมั่นในเว็บไซต์อันดับบนมากกว่าอันดับด้านล่าง โดยกว่า 70% ของลูกค้าจะนิยมสั่งซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 1 ถึง 3 เท่านั้น
การทำ SEO จำเป็นต้องทำตลอดทั้งปี เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมคุณภาพในเว็บไซต์ของคุณนาน 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป ดังนั้น ควรเลือกจ้างบริษัทที่มีประสบการณ์ในการทำ SEO หรือหากเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ต้องการประหยัด เจ้าของเว็บไซต์สามารถทำด้วยตัวเองได้ ซึ่งจะสามารถสังเกตเห็นสถิติการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีว่ามีอัตราการเข้าชมมากน้อยเพียงใด หรือผู้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์มาจากการสืบค้นผ่าน keyword ใดบ้าง

SEM
หรือ search engine marketing เป็นวิธีทำการตลาดออนไลน์ที่มีการจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาตำแหน่งต่าง ๆ ใน Google ซึ่ง Keyword มีราคาประมูลและค่าใช้จ่ายต่อการคลิก 1 ครั้งต่างกัน ขึ้นอยู่ความนิยมของคู่แข่ง เช่น ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่จะมี keyword ที่แข่งขันสูงมาก คือคำว่า ของขวัญ จึงต้องจ่ายค่า SEM สูงมาก แต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับออเดอร์อย่างมากจากลูกค้า ซึ่งเรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการโฆษณาและทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ดีและเร็วยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าบริษัทขนาดเล็กและกลางควรคำนวณงบประมาณเพื่อการทำ SEM ให้ละเอียด เพราะส่งผลต่อต้นทุนทางธุรกิจอย่างมาก และไม่ต้องทำ SEM ตลอดปี เพียงเลือกช่วงเวลาที่ต้องการกระตุ้นยอดขายหรือเพื่อแจ้งข่าวสารการออกโปรโมชันใหม่ ๆ ให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้เห็น ซึ่งเป็นเทคนิคที่ดีสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดไม่นาน เพราะสามารถทำ SEM ได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ และจะได้รับผู้เยี่ยมชมทันทีที่โฆษณาแสดงและถูกคลิก แต่ทั้งนี้ ต้องเตรียมพร้อมเรื่องข้อมูลและรูปภาพในเว็บไซต์ให้เพียงพอต่อการตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าและบริการด้วย

จากที่กล่าวมา คงทำให้ทุกท่านได้เห็นความหมายและความแตกต่างของการทำ SEO และ SEM และแสดงให้เห็นว่าทั้งสองวิธีจะแยกกันทำหรือทำควบคู่กันก็ได้ เพราะทั้งสองแบบก็มีประโยชน์เพื่อส่งเสริมการขายทั้งคู่ ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจทำ SEO และ SEM ก็ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดด้วย เพื่อใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การทำ SEO สำคัญอย่างไร

การทำ SEO สำคัญอย่างไร

การขายของออนไลน์ในยุคปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง มีความนิยมเปิดเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังไวรัสโควิดระบาดที่คนเก็บตัวอยู่บ้านและมีพฤติกรรมซื้อสินค้าต่าง ๆ ทางอินเทอร์เน็ตให้จัดส่งถึงบ้านเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคการตลาดที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เนื่องจากเป็นการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการใช้งานของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีการดาวน์โหลดปลั๊กอินต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการขาย เช่น ระบบ woocommerce ร่วมกับประเด็นสำคัญ คือ การใส่เนื้อหาในเว็บไซต์ที่คัดเลือก keyword มาเป็นอย่างดี วางตำแหน่งกระจายในส่วนต่าง ๆ ทำให้มีโอกาสถูกสืบค้นได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ระบบอัลกอริทึมของกูเกิ้ลมาเก็บข้อมูลไปวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์ หากคะแนน SEO สูงจะทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับบน ๆ เมื่อคนค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้น ๆ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

การทำ SEO สำคัญต่อการเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้า เว็บไซต์ที่มีการทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการอัปเดตบทความใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า โดยมีแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ การใช้รูปภาพที่ส่งเสริมการขายแบบไม่ผิดลิขสิทธิ์ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ SEO อันดับดียิ่งขึ้น รวมถึงการทำลิงก์เชื่อมโยงระหว่างเพจคุณภาพดีต่าง ๆ ที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีคนรู้จักมากขึ้นหรือมีฐานผู้นิยมกว้างยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลบวกโดยตรงต่อการอยู่รอดของธุรกิจทุกประเภท

การทำ SEO สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองหรืออาจจะใช้บริการรับทำเว็บไซต์ SEO ของบริษัทเอกชนที่มีอยู่มากมาย โดยจ้างตามระยะสัญญา 6 เดือนถึงหนึ่งปี ซึ่งควรเลือกจากบริษัทที่ไว้ใจได้ มีผลงานชัดเจนเป็นมืออาชีพ จะช่วยให้ไม่พลาดโอกาสแข่งขันทางธุรกิจกับเว็บไซต์คู่แข่ง และทำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำเว็บไซต์หรือแบรนด์สินค้าของคุณได้อย่างรวดเร็ว

ในกรณีที่คุณมองหาช่องทางประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดแนะนำว่าการทำ SEO จะตอบโจทย์ในประเด็นนี้ได้อย่างดี เพราะไม่มีผู้ใดสามารถผูกขาดอันดับเว็บไซต์ได้จากการที่ระบบ algorithm ทำงานอย่างซับซ้อน ขอเพียงทำ SEO ตามระบบที่กูเกิ้ลแนะนำแนวทางไว้ ก็สามารถลดต้นทุนในการทำธุรกิจออนไลน์ด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปได้เดือนละหลายหมื่นบาท และหากคุณมีแนวคิดจะทำเว็บไซต์เพื่อจำหน่ายต่อ การทำ SEO ก็ยิ่งมีความสำคัญ เนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อสถิติการเข้าชมเว็บไซต์ ยิ่งมีค่าสถิติที่ดี ก็จะทำให้ขายได้ราคาสูงมากขึ้นตามไปด้วย

จะเห็นได้ว่า การทำเว็บไซต์ SEO นั้นเป็นเรื่องจำเป็นในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพื่อการขายสินค้าออนไลน์หรือเพื่อการจำหน่ายตัวเว็บไซต์เองในอนาคต ขอเพียงตั้งใจทำตามระบบที่ Google แนะนำ ก็จะประสบความสำเร็จได้ในไม่ช้าอย่างแน่นอน

สิ่งที่คุณจะพลาดไป ถ้าไม่ทำ SEO ให้เว็บไซต์

สิ่งที่คุณจะพลาดไป ถ้าไม่ทำ SEO ให้เว็บไซต์

คนยุคใหม่นิยมศึกษาข้อมูลและซื้อสินค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ต การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์จึงเป็นเทรนด์สร้างรายได้ที่ได้รับความนิยม คนจำนวนไม่น้อยที่อยากมีธุรกิจผลิตสินค้าเป็นแบรนด์ของตัวเองจึงหันมาศึกษาการทำเว็บไซต์มากขึ้น แต่ก็มีเจ้าของกิจการจำนวนไม่น้อยที่ละเลยการเรียนรู้ด้าน SEO จึงทำให้พลาดโอกาสหลายอย่าง ไม่สามารถประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ได้ตามต้องการ

กลุ่มคนที่ทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ จะมีอันดับในการสืบค้นที่ดี และหากทำการโฆษณาเสริมด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ และมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้าตามเทศกาลมากขึ้น หากคุณไม่ทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ก็ยิ่งต้องเตรียมค่าใช้จ่ายกับการซื้อพื้นที่โฆษณา หรือการทำแบนเนอร์ประชาสัมพันธ์ข้อมูลอยู่ตลอดเวลาทั้งปี โดยเฉลี่ยจึงทำให้คุณเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนมากกว่านั่นเอง ถ้าคุณอยากขยายตลาดไปยังลูกค้าที่อยู่ในยุโรป จีนญี่ปุ่น ฯลฯ คุณต้องทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ เป็นระบบ 2 หรือ 3 ภาษา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น อย่าลืมว่าคู่แข่งทางธุรกิจของคุณจะไม่จำกัดเฉพาะเจ้าของกิจการคนไทย แต่ยังมีร้านค้าออนไลน์ต่างประเทศจำนวนมากที่ทำ SEO อย่างมีคุณภาพ คุณจึงต้องเริ่มทำ SEO อย่างจริงจังเสียแต่วันนี้ เมื่อเลือกทำเว็บผลบอล จากตัวอย่าง tdedkick เว็บนี้ออกแบบได้ดีแต่ยังขาดเรื่องหลายๆภาษาอยู่

ผู้บริโภคทั่วโลกจะมีพฤติกรรมคล้ายกันตามหลักจิตวิทยา คือ หากจะซื้อสินค้าจากร้านค้าใด มักเลือกร้านที่มีการกล่าวถึงบ่อย ๆ เป็นที่รู้จักในหมู่คนวัยเดียวกัน หรือถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของหน้าต่างการสืบค้นทาง Google ดังนั้น หากคุณไม่ทำ SEO ให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักในอันดับ top1-5 ก็เท่ากับสูญเสียโอกาสสร้างความเชื่อมั่นให้แก่แบรนด์สินค้าของตัวเอง การทำ SEO เป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจออนไลน์มีลูกค้าใหม่และลูกค้าประจำมากขึ้น สัมพันธ์กับรายได้ที่จะตามมาอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว และหากควบคุมรายจ่ายต้นทุนทางธุรกิจได้ดี เช่น การจ้างแอดมิน การทำโฆษณา การจ้างเขียนบทความ การทำกราฟิก ฯลฯ ก็จะเหลือส่วนต่างกำไรที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจจึงแนะนำให้ทุกวงการทำ SEO อย่างมีคุณภาพและสม่ำเสมอเพื่อความยั่งยืนของกิจการ

ทำไมการทำ SEO ต้องทำทุกวัน

ทำไมการทำ SEO ต้องทำทุกวัน

SEO เป็นการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง ที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างการโฆษณาผ่าน Google อาศัยความสม่ำเสมอในการทำและเรียนรู้หลักการที่ถูกต้อง แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยว่า ทำไมจึงต้องทำ SEO ทุกวัน

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลมาเป็นคำตอบให้คุณ

  1. ทุกเว็บไซต์ต่างแข่งขันกันทำ SEO

การทำ SEO หรือ search engine optimization เป็นสิ่งที่ Google ได้กำหนดไว้หลายปีแล้ว เพื่อให้เกิดการจัดลำดับในการนำเสนอเว็บไซต์ที่มีคุณภาพจากสูงไปต่ำ เพื่อให้ผู้ใช้งาน Google มีความประทับใจและกลับมาใช้งาน Google บ่อย ๆ ดังนั้น หากเว็บไซต์ของคุณทำ SEO ก็จะทำให้มีโอกาสถูกจัดอยู่ในอันดับ Top 3 หรือ Top 5 ของหน้าต่างการสืบค้นด้วย keyword นั้น ๆ

ทุกเว็บไซต์ต่างแข่งขันในการทำเช่นนี้ เพื่อให้มีโอกาสได้ปรากฏชื่อด้านบน ทำให้มีลูกค้ามาคลิกเข้าไปอ่านข้อมูลในเว็บไซต์ แล้วสั่งซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของตัวเอง หากคุณไม่พัฒนาเว็บไซต์ตามแนวทาง SEO ก็จะทำให้พลาดโอกาสในการขยายธุรกิจและส่งผลต่อการประสบความสำเร็จในระยะยาวด้วย

  1. ให้สอดคล้องกับการเก็บข้อมูลของระบบ algorithm ใน Google

ระบบเก็บข้อมูลจากอัลกอริทึมของ Google จะทำเป็นระยะ ๆ ถ้าคุณศึกษาอย่างละเอียด จะพบว่ามีอยู่หลายชนิดมากที่ใช้ในการประเมินคุณภาพเว็บไซต์ทุกประเภท เช่น

  • ระบบตรวจจับลิขสิทธิ์ การลอกเลียนข้อมูลทั้งรูปภาพและเนื้อความจากเว็บไซต์อื่น
  • การใช้สแปม keyword หรือใส่คำสำคัญบ่อยครั้งมากเกินไป จนอ่านแล้วไม่ได้ความหมายที่ถูกต้อง
  • การทำ Link เชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์ที่คุณภาพต่ำหรือที่เรียกว่าเป็น Backlink ที่ไม่มีคุณค่า เป็นต้น

ที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ระบบของ Google สามารถตรวจจับได้อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณไม่มีการแก้ไขความผิดพลาดของโพสต์ที่ผ่านมาหรือไม่ควบคุมเนื้อหาที่กำลังเพิ่มเติมใหม่เรื่อย ๆ ก็จะไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน SEO ทำให้อันดับการสืบค้นของคุณต่ำลงไปเรื่อย ๆ

  1. ต้องแข่งกับคู่แข่งที่มีการทำโฆษณา SEM ด้วย

SEM หรือ search engine marketing เป็นการประมูลพื้นที่ด้านบนของหน้าจอการสืบค้น Google หรือ SERPs ที่ย่อมาจาก search engine result pages ซึ่งจะแทรกอยู่ในด้านบนหรือด้านล่างของหน้าผลการค้นหา ถ้าคุณไม่ทำ SEO ให้เว็บไซต์ นอกจากอันดับแบบออร์แกนิคที่คุณจะได้รับ จะยิ่งต่ำลงไปแล้ว โอกาสถูกปรากฏให้เห็นต่อสายตาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายก็จะยิ่งน้อยลงไป เพราะมีกลุ่มคู่แข่งที่ทำ SEM โฆษณามาสร้างความสนใจมากกว่าอีกด้วย

จากที่กล่าวมา คงเห็นแล้วว่า การทำ SEO เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำทุกวันเป็นประจำ และไม่สามารถมองข้ามรายละเอียดเกณฑ์กติกาที่ Google กำหนดได้ เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านที่ทำเว็บไซต์ออนไลน์ตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาคุณภาพของการทำ SEO ของตัวเองยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าและจำนวนลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

ทำไมคุณจึงควรเรียนรู้การทำ SEO เสียแต่วันนี้

ทำไมคุณจึงควรเรียนรู้การทำ SEO เสียแต่วันนี้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำธุรกิจขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะจำหน่ายสินค้าพวกแฟชั่น อาหาร หรือเป็นกิจการด้านการท่องเที่ยว โรงแรม ทัวร์ ฯลฯ คุณควรรู้ว่าปัจจุบันนั้นมีคู่แข่งจำนวนมากขึ้นในช่วงปี 2020 เพราะทุกคนต่างรู้ว่าเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายทั่วโลก ซึ่งการคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์ผ่าน Google นั้น ต้องใช้หลักเกณฑ์ของ SEO ในการช่วย ถ้าคุณไม่เรียนรู้การทำ SEO ด้วยตัวเอง ก็ทำให้เสียโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจให้แก่คู่แข่งที่ขายสินค้าแบบเดียวกัน และอาจทำให้ธุรกิจของคุณเจ๊งไม่เป็นท่าได้

เรามาดูกันว่าเหตุผลที่คุณต้องรีบเรียนรู้การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ยังมีอะไรอีกบ้าง

  1. เพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าอย่างรวดเร็ว

การเสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคอย่างง่ายที่สุด มาจากการทำให้ลูกค้าได้เห็นชื่อเว็บไซต์ของคุณในอันดับบนของการสืบค้นผ่าน Google search อยู่เสมอทุกวัน ดังนั้นการที่คุณทำกฎกติกาของ SEO และใช้ keyword ที่ตรงกับการสืบค้นของลูกค้า มีการอัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอด้วยเนื้อหาที่มีความทันสมัย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อันดับ SEO ของคุณสูงขึ้นและส่งผลต่อความมั่นใจทั้งในด้านของข้อมูลและตัวสินค้าอย่างมาก

  1. ช่วยประหยัดค่าโฆษณาในสื่อออนไลน์ได้ทันที

การโฆษณาเป็นเทคนิคกระตุ้นยอดขายที่ได้ผลดีในช่วงเวลาสั้น ๆ ถ้าคุณต้องการประหยัดงบประมาณ ควรที่จะซื้อพื้นที่โฆษณาเฉพาะเทศกาลที่ผู้คนนิยมจับจ่ายใช้สอย เช่น ช่วงตรุษจีน ปีใหม่ วันวาเลนไทน์ ฯลฯ แต่ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ ควรทำ SEO เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีการค้นหาทาง Google ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่โฆษณาใด ๆ เลย

  1. ต่อยอดจากธุรกิจเล็กไปใหญ่ได้ไม่ยาก

การทำธุรกิจใด ๆ ทุกคนต่างคาดหวังที่จะทำให้เจริญเติบโต สามารถพัฒนาจากเว็บไซต์ทางธุรกิจขนาดเล็กมีสินค้าเพียงแค่ 1-2 ชิ้น ไปสู่การเป็นเว็บไซต์ขนาดใหญ่ ที่มีลูกค้ารู้จักทั้งในไทยและต่างประเทศได้ คุณจึงต้องเรียนรู้การทำ SEO เสียแต่วันนี้ เพื่อให้สามารถพัฒนาเว็บไซต์ของตัวเองให้ก้าวสู่จุดสูงสุดให้ประสบความสำเร็จในยอดขายออนไลน์ได้ง่าย และหากเรียนรู้เองด้วยก็ยิ่งดี เพราะหากเป็นเว็บไซต์ขนาดใหญ่ มีการแข่งขันสูง ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการจ้างทำ SEO ที่แพงด้วย

จะเห็นได้ว่า การทำเว็บไซต์ SEO นั้นมีข้อดีอยู่หลายด้าน ซึ่งคุณควรเริ่มเรียนรู้แต่วันนี้ หากต้องการประสบความสำเร็จทั้งด้านของการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก การได้รับยอดสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบันมีแหล่งข้อมูลมากมายที่คุณสามารถเรียนรู้ SEO ได้ด้วยตัวเอง รวมถึงการลงคอร์สเรียนต่าง ๆ ซึ่งควรจะเลือกจากผู้สอนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพ จะทำให้คุ้มค่าและประหยัดเวลาได้จริง