แก้ไขคอนเทนท์บนหน้าเว็บยังไงให้ส่งผลดีต่อ SEO

แก้ไขคอนเทนท์บนหน้าเว็บยังไงให้ส่งผลดีต่อ SEO

การทำ SEO ไม่จำเป็นต้องเขียนคอนเทนต์ขึ้นมาใหม่เพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งเว็บไซต์ธุรกิจมีเนื้อหามากมายที่ถูกอัปโหลดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแค่คอนเทนต์เหล่านั้นยังไม่ตรงกับมาตรฐานของ SEO ซึ่งการจะแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้นสามารถทำได้ง่าย ไม่ซับซ้อนอย่างที่ทุกคนคิด ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปเรียนรู้ว่ามีเทคนิคการแก้ไขคอนเทนต์ยังไงให้ส่งผลดีต่อ SEO มากขึ้น

  1. แก้เนื้อหาท็อปฮิตก่อน

หลายคนอาจจะคิดว่าต้องแก้เนื้อหาที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาอ่านก่อน แต่จริง ๆ เนื้อหาที่ควรทำการปรับปรุงเป็นอันดับแรกคือคอนเทนต์ที่มียอดการเข้าชมมากที่สุด เพราะถ้าสามารถปรับเพจนี้ให้มีคะแนน SEO สูงขึ้นได้ จะช่วยเพิ่มยอดการมีส่วนร่วมของเว็บไซต์ให้เพิ่มอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คอนเทนต์อื่น ๆ จะใช้เวลานานกว่าจึงจะเห็นผลต่ออันดับ SEO ดังนั้นคอนเทนต์เหล่านั้นจึงเหมาะกับการพัฒนาในระยะยาวมากกว่า

  1. อัปเดตเนื้อหาให้สดใหม่

หลายครั้งเนื้อหาที่ถูกอัพโหลดมาเป็นระยะเวลานาน ๆ แล้ว มักมีเนื้อหาที่ล้าสมัยเกินไป จนไม่มีใครสนใจที่จะกดเข้ามาอ่าน และไม่สามารถใช้อ้างอิงสถานการณ์ปัจจุบันได้อีกต่อไป ดังนั้นควรมีการอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจจะเป็นการเพิ่มข้อมูลปัจจุบัน หรือการเพิ่มกรณีศึกษาใหม่ ๆ อย่างทันเหตุการณ์ เพื่อดึงความสนใจของผู้อ่านให้ยังคงสนใจบทความเดิมที่อัพโหลดไว้

  1. ปรับคีย์เวิร์ดให้มีคุณภาพ

บางครั้งคีย์เวิร์ดเก่าที่ใช้อาจจะไม่ตรงมาตรฐานของตลาดในปัจจุบัน ดังนั้นต้องมีการคัดเลือกคีย์เวิร์ดใหม่ ๆ ที่มีอัตราการแข่งขันสูงขึ้น เพื่อให้สามารถเอาชนะคู่แข่งและดึงกลุ่มเป้าหมายเข้ามายังเว็บไซต์ได้มากขึ้น โดยคีย์เวิร์ดที่ดีควรจะมีทั้งคำทั่วไปและคำที่เฉพาะเจาะจง ควรเป็นคีย์เวิร์ดที่ไม่ยากเกินไปที่จะทำอันดับ และอย่าลืมว่าต้องมีความเกี่ยวข้องสอดคล้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์

  1. แก้ไข Title กับ Description

ปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเนื้อหาเพียงอย่างเดียว ความน่าดึงดูดใจสามารถเพิ่มได้ด้วยการปรับปรุง Title ของเนื้อหาให้สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้ใช้งานได้ เพราะสิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือหัวข้อ ต่อให้เนื้อหาจะดีขนาดไหน แต่ถ้าชื่อเรื่องไม่น่าสนใจ อาจจะไม่มีใครเข้ามาอ่าน นอกจากนั้นยังสามารถแก้ไข Description ของหน้าเพจให้มีคุณภาพมากขึ้น แน่นอนว่าทั้งสองส่วนนี้ควรมีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วย จะส่งผลดีต่อ SEO มากที่สุด

  1. ใส่ Internal Link ไปเนื้อหาอื่น ๆ

ในหนึ่งเว็บไซต์มักมีเนื้อหาหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกัน อย่าปล่อยให้คอนเทนต์เหล่านั้นเสียเปล่า เพียงแค่สร้าง Internal Link เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าเพจเหล่านั้น จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ง่าย ๆ ตามที่ต้องการ จึงทำให้ส่งผลดีต่อการจัดอันดับ SEO

ถ้าสามารถดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้จะทำให้คอนเทนต์เก่า ๆ มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานของ Search Engine มากขึ้นอย่างแน่นอน จะทำให้อันดับบนเว็บไซต์ดีขึ้นและเพิ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน

เลือกบริษัทรับทำ SEO อย่างไร ให้ธุรกิจของคุณปังไม่หยุด

เลือกบริษัทรับทำ SEO อย่างไร ให้ธุรกิจของคุณปังไม่หยุด

เพราะเราต่างก็ทราบกันดีว่า SEO นั้น ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและทรงพลัง สำหรับช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจต่าง ๆ ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ในเสิร์ชเอนจินสำหรับโลกดิจิทัลมีเดีย และนั่นหมายถึงว่า โอกาสการมองเห็นจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนั้น ๆ ก็ย่อมจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดไปด้วย และถือว่าเป็นผลกระทบในทางที่เป็นบวก ที่เข้ามาปฏิวัติแวดวงอีคอมเมิร์ช หรือธุรกิจการค้าในสมัยนี้อย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลให้ธุรกิจมากมายประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นการเลือกที่บริษัทที่ปรึกษาการทำ SEO ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ จึงถือเป็นกุญแจสําคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจากการทำ SEO

เลือกบริษัทรับทำ SEO อย่างไร ธุรกิจของคุณจึงจะปังไม่หยุด

SEO เป็นงานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และต้องใช้ความทุ่มเทอย่างมาก คุณจึงจะได้เห็นความสำเร็จ และได้อยู่ในอันดับต้น ๆ หรือหน้าแรกบนเสิร์ชเอนจิ้น แต่การบรรลุเป้าหมายเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นการเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่จะนำพาคุณไปถึงเป้าหมายได้ ก็จะต้องจะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

บริษัทควรจะมีผลงานในด้านการทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จ

บริษัทรับทำ SEO นั้นๆ ควรจะมีผลงานในด้านการทำ SEO ให้กับลูกค้า และประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม ซึ่งถือเป็นเรฟเฟอร์เร้นซ์สำคัญลำดับแรก เพราะนั่นจะหมายถึงบริษัทดังกล่าวย่อมจะมีความเชี่ยวชาญ และคุณก็จะสามารถคาดหวังผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจได้ด้วย ดังนั้นจงใช้เวลาสำหรับการศึกษาประวัติและผลงานของบริษัทรับทำ SEO ก่อนตัดสินใจเลือก

บริษัทควรจะนำเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรม

เพราะการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับกลไกการค้นหาเว็บไซต์นั้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการวางแผนกลยุทธ์ โดยมีศักยภาพควบคู่ไปกับการสอดรับกับความล้ำหน้า ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้นบริษัทที่ปรึกษารับทำ SEO จึงควรจะต้องมีความเชี่ยวชาญ และมีแนวทางที่ชาญฉลาด ที่จะสามารถบูรณาการความล้ำหน้า และทิศทางของการตลาดไปได้พร้อม ๆ กันได้ และนี่ก็คือคุณสมบัติอีกประการหนึ่งที่สำคัญ คุณสมบัติในด้านของประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค SEO นั่นเอง

หากคุณตัดสินใจที่จะใช้ SEO เป็นเทคนิคการตลาดของคุณ การจ้างที่ปรึกษา SEO ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ความรู้ ย่อมจะช่วยให้บริษัทของคุณดำเนินการไปตามทิศทางที่ถูกต้อง โดยไม่เสียเวลาไปกับการลองถูกลองผิด ในฐานะเจ้าของธุรกิจคุณจึงสามารถประหยัดเวลาได้อย่างมากมาย ซึ่งย่อมจะยังประโยชน์ให้คุณสามารถใช้เวลาไปกับการพัฒนาธุรกิจ หรือผลิตภัณฑ์ หรือสิ่งสำคัญด้านอื่น ๆ ได้มากขึ้น และเมื่อนำมาบูรณาการกับ SEO แล้ว เราเชื่อว่าหนทางแห่งการประสบความสำเร็จของคุณนั้น ก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป เลือกบริษัทรับทำ SEO ที่เหมาะสม แล้วคุณจะประสบความสำเร็จได้ก่อนใครอย่างแน่นอน

ทำ SEO ต้องรู้ ออกแบบเว็บไซต์อย่างไรให้ถูกใจกลุ่มเป้าหมาย ติดหน้าแรกการค้นหา

ทำ SEO ต้องรู้ ออกแบบเว็บไซต์อย่างไรให้ถูกใจกลุ่มเป้าหมาย ติดหน้าแรกการค้นหา

ในยุคที่ใคร ๆ ต่างค้นหาข้อมูลสินค้า บริการ รวมถึงรีวิวต่าง ๆ ผ่าน Search Engine จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลากหลายธุรกิจต่างหันมาทำ SEO เพื่อเพิ่มโอกาสในการเจาะกลุ่มเป้าหมาย ผลักดันให้เว็บไซต์ตัวเองติดหน้าแรกการค้นหา ซึ่งการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหานั้น สิ่งสำคัญคือคะแนนความนิยมจากกลุ่มเป้าหมาย เพราะยิ่งเว็บไซต์มี Traffic ดีมากเท่าไหร่ คะแนนจาก Search Engine ย่อมดีขึ้นมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นคนทำ SEO จึงควรออกแบบเว็บไซต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกอย่างง่ายดาย

คนทำ SEO ต้องรู้ ! ออกแบบเว็บไซต์อย่างไรให้ถูกใจกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มคะแนน Search Engine

– คอนเทนต์สดใหม่ 

คอนเทนต์ นับเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ เพราะคอนเทนต์ที่สดใหม่ อินเทรนด์ และไม่ลอกเลียนแบบเว็บไซต์อื่น คือสิ่งล่อใจให้กลุ่มเป้าหมายกดเข้ามาชมเว็บไซต์คุณมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นคอนเทนต์จึงต้องอัปเดตตลอดเวลา มีเนื้อหาอินเทรนด์ ที่สำคัญต้องตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และเมื่อกลุ่มเป้าหมายคลิกเข้าชมเว็บไซต์บ่อย ๆ โอกาสที่ได้คะแนนจาก Search Engine ก็มีมากขึ้นเช่นกัน

– เว็บไซต์สวยงาม หาข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย

การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงาม น่าสนใจ และเป็นระเบียบ จะทำให้กลุ่มเป้าหมายแวะมาเยี่ยมชมเว็บไซต์บ่อย ๆ เพราะนอกจากเว็บไซต์น่าดึงดูดใจแล้ว การค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการยังหาง่าย ถูกจัดไว้เป็นหมวดหมู่ กลุ่มเป้าหมายไม่รู้สึกสับสนและไม่หงุดหงิดจนต้องเปลี่ยนไปหาข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น ดังนั้น คนทำ SEO ควรออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงาม เป็นระเบียบ และต้องมั่นใจว่ากลุ่มเป้าหมายสามารถกดค้นหาข้อมูลได้อย่างไม่ยุ่งยาก

– เข้าใช้งานเว็บไซต์ได้รวดเร็ว 

คงไม่มีใครอยากเข้าใช้งานเว็บไซต์ที่ช้า หรือต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าสู่เว็บไซต์ได้ ยิ่งหากเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างกลุ่ม Gen Z ที่ชอบเทคโนโลยี รักความสะดวกสบาย และต้องการเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว ยิ่งจำเป็นต้องออกแบบ Page Speed ให้ตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มนี้ เพราะหากเว็บไซต์ช้า ใช้เวลาดาวน์โหลดนาน โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายกดปิดหน้าเว็บไซต์จะมีสูง เสียโอกาสทำการตลาดไปอย่างน่าเสียดาย

– แสดงผลได้แบบ Mobile Friendly

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้บริโภคนิยมค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการในสมาร์ตโฟนมากกว่าในคอมพิวเตอร์ สังเกตจากพฤติกรรมการใช้สมาร์ตโฟนที่มีให้เห็นทั่วไป การออกแบบเว็บไซต์นอกจากต้องพิจารณาความสวยงามและการใช้งานง่ายแล้วยังจำเป็นต้องแสดงผลได้ฟิตพอดีจอสมาร์ตโฟน เมื่อกดเข้าเว็บไซต์แล้ว ภาพหรือข้อความต้องไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่กลุ่มเป้าหมาย 

เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก ดังนั้น คนทำ SEO จึงต้องออกแบบเว็บไซต์ให้โดนใจและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังต้องพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการติดตามเทรนด์การทำ SEO ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพียงเท่านี้เชื่อว่าเว็บไซต์ของคุณจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นและมีโอกาสติดหน้าแรกการค้นหาได้อย่างไม่ยาก

เปิด 3 เปิดเหตุผล ทำไม SEO จึงสำคัญต่อธุรกิจของคุณ

เปิด 3 เปิดเหตุผล ทำไม SEO จึงสำคัญต่อธุรกิจของคุณ

ปัจจุบันโลกของเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงทุกคนได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าการแข่งขันในโลกธุรกิจจึงมากขึ้นตามไปด้วย เพียงแค่คุณต้องการจะหาซื้อสินค้า อาหาร หรือของใช้ต่าง ๆ เพียงแค่คลิกเดียวก็สามารถเลือกสรรได้ตามต้องการ ดังนั้นในโลกของนักธุรกิจ จึงต้องการช่วงชิงตำแหน่งของการที่ลูกค้าจะมองเห็นได้ง่ายและเร็วที่สุด เพื่อเปิดโอกาสให้กับธุรกิจของตนเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวิธีการทำ SEO นั่นเอง แล้วการทำ SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจของคุณ วันนี้มีคำตอบมาฝากกัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทต่าง ๆ หรือคนทำธุรกิจ มักใช้ SEO เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงเว็บไซต์ของเรามากขึ้น โดย SEO ย่อมาจาก Search Engine optimization คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับการทำงานของ Search Engine ซึ่งเป้าหมายของการทำ SEO คือ ทำให้เว็บไซต์ของคุณ ปรากฏในลำดับต้น ๆ ของผลการค้นหา ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่าการปรับแต่งโปรแกรมค้นหา สามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากกว่าวิธีการทางการตลาดและการโฆษณาอื่น ๆ อีกด้วย นั่นจึงเป็นคำตอบว่าทำไมการทำ SEO จึงสำคัญต่อการทำธุรกิจ

  1. SEO เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์

การจัดอันดับที่ดีของเว็บไซต์ คาดว่าจะนำไปสู่การเข้าชมเว็บที่เพิ่มขึ้น การทำ SEO ยังได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นกลยุทธ์การตลาด ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ สามารถสร้างการเข้าชมได้มากกว่าการตลาดรูปแบบอื่นทั้งหมดรวมกัน

  1. SEO เพิ่มความน่าเชื่อถือ 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับสูงในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา หมายความว่าเว็บไซต์ของคุณมีแนวโน้มว่ามีคุณภาพสูงและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีเลยทีเดียว

  1. SEO ช่วยกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมได้

การใช้ SEO เป็นกลยุทธ์ที่มีแนวโน้มว่ากลุ่มลูกค้าจะเข้าถึงธุรกิจของคุณได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งการกำหนดคำหลักเฉพาะโดยใช้ SEO เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและดึงดูดลูกค้าในอนาคตได้เป็นอย่างดี เช่น หากคุณเปิดขายเสื้อผ้าของผู้หญิง และใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องกับกระโปรง หรือเสื้อยืด ก็มีแนวโน้มว่า คุณจะได้รับจำนวนผู้ชมที่เข้ามาชมเว็บไซต์เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกด้วย หรือถ้าคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับบอล หลักการใช้คำที่เกี่ยวข้องกับตารางบอลพรุ่งนี้ โปรแกรมบอล ก็สามารถเพิ่มยอดคนเข้าถึงเช่นกัน

การใช้ SEO มาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการทำธุรกิจ นอกจากจะทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้อย่างดีแล้ว ยังมีแนวโน้มสูงที่ลูกค้าจะกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แล้วซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้นอีกครั้ง ดังนั้นการเลือกกลยุทธ์ SEO ที่เหมาะสมจะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโต และสามารถกำหนดเป้าหมายลูกค้าของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำคอนเทนต์ SEO ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้อย่างไร

การทำคอนเทนต์ SEO ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้อย่างไร

เพราะยอดขายถือเป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่จะบอกได้ว่าธุรกิจของเรานั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แล้วกำไรที่ตั้งเป้าไว้จะเป็นไปอย่างที่ต้องการหรือเปล่า นั่นหมายความว่าธุรกิจจำเป็นที่จะต้องพยายามหาวิธีที่จะเพิ่มยอดขายให้ได้มากที่สุด และหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างยอดขายให้มากขึ้นได้นั่นก็คือการทำคอนเทนต์ SEO

วิธีสร้างยอดขายให้มากขึ้น

1. การเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ด้วยการทำคอนเทนต์ SEO จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นผ่านการค้นหาบน Google ด้วยคอนเทนต์คุณภาพที่มีการเลือกใช้ Keyword สำคัญซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นเจอกับสิ่งที่ตัวเองสนใจหรือสินค้าที่กำลังต้องการได้ง่ายกว่า นั่นทำให้โอกาสที่ธุรกิจจะเจอกันกับลูกค้าตรงกลุ่มก็ยิ่งมีมากขึ้น

2. การดึงลูกค้ามาจากคู่แข่ง การทำ SEO ให้ธุรกิจติดอันดับจากการค้นหาของ Google แม้เพียง 1 อันดับก็มีผลต่อการดึงลูกค้าจากคู่แข่งได้มาก เพราะจากค่าเฉลี่ยแล้ว ทุก ๆ ความต่าง 1 อันดับที่เปลี่ยนไปจะส่งผลต่อการที่ลูกค้าจะเลือกคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์นั้นต่างกันถึง 30% และถ้าเว็บของคุณอยู่ที่อันดับ 1 ก็จะยิ่งมีอัตราการคลิกเข้ามาสูงกว่าอันดับที่ 10 ถึง 10 เท่า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงถึงใส่ใจในอันดับของตัวเองบน Google เป็นอย่างมาก

3. Brand Awareness ที่มาพร้อมกับยอดขาย หนึ่งกลยุทธ์ในการทำ SEO สามารถที่จะสร้างให้เกิดการสร้าง Brand Awareness ได้ ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจ และรับรู้ว่าธุรกิจจะสามารถส่งมอบอะไรที่ตอบโจทย์ความต้องการให้ได้บ้าง เมื่อเกิดการจดจำแล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือการตัดสินใจซื้อสินค้านั่นเอง

4. น้อยแต่มาก ติดลมบน อย่างที่รู้กันว่าการทำคอนเทนต์ SEO ให้ธุรกิจติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหาของ Google เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ กว่าจะเห็นผลได้ แต่ที่สำคัญคือหากเว็บไซต์ของธุรกิจได้ติดอันดับแล้วก็จะถือว่าติดลมบน เพียงการดูแลอัปเดตเว็บและคอนเทนต์เล็กน้อยแต่ต่อเนื่องก็จะช่วยรักษาอันดับไว้ได้นานแล้ว ถ้ามองในมุมการขายก็แปลว่าสินค้าของธุรกิจเป็นสินค้าที่ติดตลาดแล้วนั้นเอง

5. รู้จริงใครก็เชื่อ การนำเสนอคอนเทนต์คุณภาพที่มีเนื้อหาที่น่าสนใจ และเป็นการให้ความรู้แก่ลูกค้า จะช่วยสร้างให้เกิดความไว้วางใจในความเชี่ยวชาญของธุรกิจ ที่ส่งผลไปถึงการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของธุรกิจมากกว่าจะไปเลือกซื้อจากคู่แข่ง

การตั้งเป้าเพิ่มยอดขายด้วยกลยุทธ์การทำคอนเทนต์ SEO คุณภาพ จะช่วยให้ธุรกิจสร้างรายได้ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่องในระยะยาวได้มากกว่า ทั้งยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และถึงแม้ว่าจะค่อนข้างใช้เวลาสักหน่อยแต่รับรองเลยว่าผลลัพธ์นั้นคุ้มค่าแน่นอน

ทำ SEO สินค้า ให้ติดอันดับ อัปยอดขายให้ธุรกิจออนไลน์

ทำ SEO สินค้า ให้ติดอันดับ อัปยอดขายให้ธุรกิจออนไลน์

การทำ SEO ให้หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับในการค้นหาของ Google คือเป้าหมายพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถเอาชนะคู่แข่งในตลาดด้านของการเข้าถึงลูกค้าผ่าน Search Engine ได้ แต่เท่านั้นยังไม่พอ ถ้าอยากจะสร้างความได้เปรียบด้านการขาย ธุรกิจต้องใช้กลยุทธ์การทำ SEO ให้กับสินค้าไปพร้อมกันด้วย

1. ชื่อสินค้าต้องเข้าถึงง่าย สิ่งสำคัญข้อแรกสุดสำหรับการทำ SEO ให้กับตัวสินค้าก็คือการเลือกใช้ชื่อสินค้าในหน้าเว็บไซต์ให้ง่ายและรองรับกับการค้นหา วิธีที่ดีคือการตั้งชื่อสินค้าให้รับกับ Keyword โดยทั่วไปแล้วจะนิยมตั้งชื่อสินค้าประมาณ 60 ตัวอักษร โดยนับรวมกับพวกคุณสมบัติต่าง ๆ อย่างชื่อสินค้า + ยี่ห้อหรือแบรนด์ + ขนาด เป็นต้น

2. คำอธิบายสินค้าคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ตรงนี้ต่อให้ไม่ได้คิดถึงหลัก SEO เวลาจะขายของ พวกคำอธิบายสินค้าก็คือของที่จะไม่ใส่เข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะคำอธิบายสินค้าคือเนื้อหาที่จะช่วยให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจในสินค้าและทำให้เราปิดการขายได้ สำหรับวิธีการใส่คำอธิบายควรมีการนำ Keyword เข้ามาใส่ในนี้ด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการให้หน้าเว็บติดอันดับ

3. อย่าลืมเรื่องการโหลดหน้าเว็บ เป็นปกติที่หน้าขายสินค้าจะต้องเต็มไปด้วยภาพ ข้อความ หรือบางเว็บก็จะมีวิดีโอรีวิวด้วย ตรงนี้ต้องระวังให้ดี เพราะถ้าเราอัด Media ที่ใหญ่และหนักเกินไป จะทำให้คะแนนการโหลดหน้าเว็บของเราดึงอันดับให้ร่วงได้

4. Title กับ Description ช่วยได้ เพื่อให้หน้าสินค้าของเราขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นของการค้นหาผ่าน Google แบบสวย ๆ การออกแบบการเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับสินค้าในส่วนที่เป็น Title กับ Description ที่จะไปโผล่อยู่หน้าผลการค้นหาควรจะมีการใส่ Keyword สำคัญที่เกี่ยวกับสินค้าเข้าไปด้วย เพื่อใช้ส่วนนี้เป็นตัวดึงอันดับหน้าเว็บของเราขึ้นมา

5. Mobile Friendly ช่วยปิดการขายได้ เพราะในการทำเว็บไซต์ของธุรกิจเดี๋ยวนี้จะเน้นการแสดงผลแต่ใน Desktop อย่างเดียวไม่ได้แล้ว หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจจะต้องแสดงผลได้ดีเป็น Mobile Friendly ด้วย ซึ่งเจ้า
Mobile Friendly นี้มีความสำคัญมากกว่าแค่ในแง่ของความง่ายในการใช้ แต่มันยังส่งผลถึงการตัดสินใจกดซื้อสินค้าที่หน้าเว็บด้วย และในอนาคตก็คาดกันว่า Google จะเอาเรื่อง Mobile Friendly มาใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วยเหมือนกัน

ด้วยการทำ SEO ให้กับสินค้า จะช่วยสร้างยอดขายให้กับธุรกิจได้มากขึ้น เป็นเหมือนกับทางลัดที่จะพาลูกค้าที่มีความต้องการซื้อสูงเข้ามาเจอกับสินค้าของเราในทันที เป็นอีกกลยุทธ์ที่สำคัญที่จะช่วยธุรกิจในการขยายฐานลูกค้าและสร้างรายได้ไปพร้อมกัน

Well Targeted Content

รวมปัจจัยในการทำ SEO ให้ติดอันดับการค้นหา

สิ่งที่ปรารถนามากที่สุดสำหรับคนทำเว็บไซต์ คือ การได้เห็นเว็บไซต์ของตนเองติดอันดับในการค้นหามากที่สุด แน่นอนว่าอัลกอริทึมของ Search Engine มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้คุณสมปรารถนา แต่จะมีปัจจัยใดบ้างนั้น วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลบางส่วนที่คาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการค้นหาของ Search Engine ให้เว็บไซต์ติดอันดับได้

Well Targeted Content – การสร้างเนื้อหาให้ตรงกับเป้าหมาย สิ่งแรกที่ควรจะทำนั่นคือการระบุเนื้อหา ข้อมูลหรือสิ่งที่จะทำให้ตรงตามความต้องการของคนที่จะค้นหาและมีคุณภาพมากที่สุด

Crawlable Website – เว็บไซต์ได้รับการออกแบบโครงสร้างให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ง่าย

Quality & Quantity of Link – เว็บที่ดีมีคุณภาพ มักจะได้รับการอ้างอิงและทำเป็นลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์ของคุณ ยิ่งมีการอ้างอิงมากเท่าไร นั่นหมายความว่าเว็บคุณเป็นเว็บที่ดีมีคุณภาพและน่าเชื่อถือสำหรับ Search Engine

Satisfies User Intent – รูปแบบของเนื้อหาหรือข้อมูลบนเว็บไซต์จะต้องสอดคล้องกับคนใช้งาน หรือพูดง่าย ๆ คือ คนที่ค้นหาได้ข้อมูลที่ถูกต้องและใช้เวลาบนเว็บไซต์นาน ๆ และมีความสุขจากการค้นหา

Unique Content – เนื้อหาและข้อมูลทั้งหมดจะต้องไม่ซ้ำกัน

Expertise, Authority, Trust (EAT) – ความเชี่ยวชาญ อำนาจ และความน่าเชื่อถือ เป็นเกณฑ์การประเมินเว็บที่มีคุณภาพของ Google ดังนั้น ในการสร้างบทความ เนื้อหา ความรู้ ที่มีความน่าเชื่อถือ ควรเน้นไปที่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเว็บเท่านั้นและควรทำอย่างมีคุณภาพ

Fresh Content – เนื้อหาบนเว็บไซต์ควรมีการอัปเดตใหม่เสมอ ๆ

Click-Through Rate (CTR) – อัตราการคลิกและการมองเห็น เพื่อสร้างโอกาสให้คนคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของคุณมาก ๆ ควรตั้ง Title tag, Meta description ให้มีความน่าสนใจและโดดเด่น เพื่อที่จะชวนให้คนคลิกเข้าเว็บไซต์ของคุณ

Website Speed – ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเพจต่าง ๆ คุณควรตรวจสอบหน้าเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา การเชื่อมโยงภายในเว็บยังทำงานได้ดีหรือไม่ โหลดเร็วหรือช้า หากพบเห็นก็ควรปรับปรุงและแก้ไข

Work on Any Device – เว็บไซต์ต้องได้รับการออกแบบให้สามารถทำงานได้ทั้ง คอมพิวเตอร์ แท็บเลต มือถือ หรือทุกอุปกรณ์ที่เปิดเข้าใช้งานและลองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการ

จะเห็นว่าปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ Search Engine จะใช้ในการค้นหา โดยจะเน้นหนักไปที่ EAT หรือการทำให้เนื้อหามีคุณภาพ น่าเชื่อถือจากผู้มีความชำนาญอย่างแท้จริง สามารถนำข้อมูลภายในเว็บไซต์ไปอ้างอิงให้เกิดประโยชน์ต่อคนหมู่มากได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและส่งผลดีต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ได้ คือ ปริมาณของเนื้อหาต่อ 1 บทความ, รูปภาพประกอบจะต้องไม่ละเมิดสิทธิ์หรือมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น, มีการแชร์ข้อมูลบนโซเชียลต่าง ๆ และที่สำคัญต้องมีการทำ HTTPS

หากคุณทำเว็บไซต์ของคุณให้ครบตามปัจจัยที่กล่าวมานี้ทั้งหมด เชื่อได้ว่าโอกาสที่เว็บไซต์จะสามารถติดอันดับการค้นหาได้ไม่ยาก

data analytical skill

data analytical skill ทักษะที่ขาดไม่ได้และเป็นที่ต้องการในอนาคต

data analytical skill หรือทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่มีความสำคัญในการออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดที่จำเป็นในปัจจุบันและอนาคต ทำให้ผู้ที่มีทักษะด้านนี้เป็นที่ต้องการของบริษัทชั้นนำ โดยฐานเงินเดือนเริ่มต้นของ data analyst หรือนักวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอยู่ที่ประมาณ 4 – 5 หมื่นบาทและหากเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ความชำนาญจะสามารถเรียกเงินเดือนได้สูงถึงหลักแสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว

data analyst ทําอะไรบ้าง หน้าที่ของนักวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกไม่เพียงแต่สามารถจัดเก็บข้อมูลของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังต้องเป็นผู้ที่รู้จักเลือกใช้เครื่องมือที่สามารถดึงข้อมูลที่แท้จริงของผู้บริโภคร่วมกับการนำข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ มาวิเคราะห์หาความต้องการ หรือปัญหาที่ผู้บริโภคกำลังเผชิญเพื่อนำมาต่อยอดในการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดได้ โดยทักษะพื้นฐานของ data analyst ที่เว็บไซต์การตลาดชั้นนำได้ระบุเอาไว้ ได้แก่

– ทักษะด้านการดึงข้อมูลและจำแนกข้อมูล (Data cleaning and preparation) นักวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจะต้องรู้จักหาข้อมูลของผู้บริโภคและทำการจำแนกข้อมูลออกเป็นตัวเลข หรือเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ง่ายต่อการนำข้อมูลมาใช้ในอนาคต

– การวิเคราะห์ข้อมูล (Data analysis and exploration) เพื่อหาความเกี่ยวข้อง หรือแนวโน้มที่มีความน่าจะเป็นและเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่จะสามารถนำมาสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจได้

– ทักษะด้านสถิติ (Statistical knowledge) ความรู้ด้านสถิติเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความถูกต้อง แม่นยำยิ่งขึ้น

– การนำเสนอข้อมูล (Creating data visualizations) นักวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่ายมากที่สุดอย่างการทำแผนภูมิต่าง ๆ เพราะจะช่วยให้เห็นภาพรวมของข้อมูลได้ง่ายขึ้น

– การจัดเตรียมรายงาน (Creating dashboards and reports) การจัดเตรียมรายงานเป็นขั้นตอนที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งต่องานให้กับผู้อื่นที่เกี่ยวข้องและต้องการนำข้อมูลไปใช้

– ทักษะด้านการสื่อสาร (communication) ทักษะการสื่อสารเป็นทักษะที่ทำให้นักวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกสามารถฟังข้อมูลที่ผู้บริโภคต้องการจะสื่อความหมายเข้าใจและรอบคอบ รวมถึงสามารถสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจน

หากอยากเป็น data analyst ต้องเรียนคณะอะไร? สำหรับในประเทศไทยโดยส่วนใหญ่แล้ว data analyst มักจะจบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านวิศวกรรมศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ หรือสารสนเทศข้อมูล หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์ เป็นต้น แต่หากต้องการเรียนด้าน data analyst โดยตรงจะมีสถานศึกษาเพียงไม่กี่แห่งที่มีหลักสูตร data analyst โดยเฉพาะ เช่น คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขา Data Science & Business Analytics (DSBA) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นต้น

หากใครที่กำลังมองหาช่องทางอาชีพที่มีความมั่นคงและมีอนาคต อาชีพ data analyst เป็นอาชีพหนึ่งที่บริษัทชั้นนำหลายแห่งเปิดรับสมัครงาน หรือหากต้องการโอกาสทางธุรกิจการศึกษาเกี่ยวกับ data analytical skill เป็นทักษะหนึ่งที่มีความจำเป็นในอนาคตที่ขาดไม่ได้

SEO ช่วยเรื่องการตลาดออนไลน์ได้อย่างไร

SEO ช่วยเรื่องการตลาดออนไลน์ได้อย่างไร

ในยุคปัจจุบันการตลาดเพียงหน้าร้านอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้อีกต่อไป นับแต่การเข้ามาของธุรกิจ Ecommerce และการระบาดของโรคโควิด – 19 ทำให้ยอดการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนบางบริษัทไม่จำเป็นต้องใช้หน้าร้านอีกต่อไป เน้นทำการตลาดบนเว็บไซต์แทน เพื่อให้คนเห็นสินค้าได้ง่ายกว่าเดิม ซึ่งการตลาดแบบนี้จำเป็นต้องแย่งชิงพื้นที่ในเว็บ Search engine อย่าง google เพื่อให้เว็บไซต์ของตนเป็นอันดับแรก ๆ ของการค้นหา SEO จึงได้เข้ามามีบทบาทในการตลาดยุคสมัยใหม่มากขึ้น

SEO คืออะไร จำเป็นไหมที่ต้องทำ

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization เริ่มใช้ในยุคแรก ๆ นับแต่การเข้ามาของ Search engine หลักการเบื้องต้นของ SEO คือ ทำให้เว็บไซต์ของเราอยู่ในหน้าแรก หรืออันดับต้น ๆ ของการค้นหา เพราะการค้นหาหนึ่งครั้ง จะปรากฏเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องมากมายนับไม่ถ้วน แต่ SEO จะทำให้ลูกค้าได้เห็นเว็บไซต์ของเราก่อนเว็บคู่แข่ง การทำ SEO จึงจำเป็นต้องมีเว็บไซต์ที่ดี สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ประกอบด้วยคีย์เวิร์ดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาของผู้เสิร์ช ซึ่งเนื้อหามีคุณภาพจะทำให้ AI ของเว็บ Search Engine นำเว็บไซต์ของเรามาอยู่ในหน้าแรกของการค้นหา ข้อดีของการทำ SEO คือมีราคาถูก ไม่ต้องเสียเงินมากมายในการบูสต์เว็บไซต์ ให้มาอยู่หน้าแรก แต่หากผู้ทำเว็บไซต์เลือกที่จะไม่ทำ SEO ก็ควรต้องเสียเงินค่าโฆษณา มิเช่นนั้นแล้วผู้ค้นหาจะไม่สามารถเจอเว็บของเราได้แน่นอน

SEO กับยอดขายที่ดีขึ้น

ผู้ค้นหามากกว่า 90 % เลือกที่จะคลิกเว็บไซต์ในหน้าแรกของ google หรือ Yahoo น้อยคนมากที่จะหาเว็บไซต์ในหน้าต่อไป การทำ SEO นอกจากจะช่วยให้เว็บไซต์ของเราอยู่หน้าแรก ยังช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น กล่าวคือหากผู้ค้นหาเลือกเข้าชมเว็บไซต์ของเรา และเนื้อหามีคุณภาพชวนให้น่าอ่าน จะดึงเวลาของผู้อ่านให้รับชมโฆษณาในหน้าเว็บไซต์ของเราได้นานขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราได้รับค่าโฆษณามากกว่าเดิม อีกทั้งหากเว็บไซต์ของเราขายสินค้า ส่งผลให้ผู้ค้นหาได้เห็นสินค้าของเราเป็นเวลามากกว่าเดิม ทำให้มีโอกาสในการซื้อ เพิ่มขึ้นเช่นกัน และเมื่อเว็บไซต์ของเราติดอันดับหน้าแรก ก็ไม่จำเป็นต้องดูแลมากอีกต่อไป ดูแลเล็กน้อยก็เพียงพอ

SEO กับการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ

การตลาดในรูปแบบเดิม จะเน้นการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก เช่น โฆษณาสินค้า 1 ชิ้นบนโทรทัศน์ ก็ต้องเลือกอายุ เพศของผู้ที่คาดว่าจะเป็นฐานลูกค้า โดยนักการตลาดไม่สามารถที่จะจับกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัยได้ เพราะงบประมาณของบริษัทมีจำกัด แต่ SEO ไม่สนว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นจะเป็นใคร เพราะเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ คนทุกเพศทุกวัยสามารถค้นหาเจอ เพื่ออ่านคอนเทนต์ และเกิดการซื้อได้

เห็นได้ว่า SEO ได้เข้ามาทำลายการตลาดแบบเดิม และมีส่วนช่วยการตลาดออนไลน์ ในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ทั้งเพิ่มยอดเข้าชม การติดอันดับที่ดี เพิ่มยอดขาย และขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ดังนั้นนักการตลาดยุคใหม่ควรศึกษา SEO เพื่อรองรับการใช้งาน Ecommerce

Google market finder

Google market finder เครื่องมือสร้างโอกาสในธุรกิจ

ในปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งาน Google มากถึง 4.6 พันล้านคนและจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ทำให้การใช้ Google ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จในอนาคตโดยมีอินเทอร์เน็ตเป็นตัวเชื่อมต่อผู้คนจากทุกแห่งบนโลก

หลายคนที่ทำเว็บไซต์ย่อมรู้จักการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์อยู่ใน TOP10 หรือ TOP5 Google ของผลการค้นหา Google แต่ใช่ว่าจะมีแต่กระบวนการทำ SEO เท่านั้นที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้ แต่ยังมี market finder ด้วย ซึ่งเครื่องมือที่ช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจไปยังตลาดทุกแห่งบนโลก เหมาะสำหรับเจ้าของกิจการที่อยากเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจของตัวเอง โดยเครื่องมือ Google market finder มีประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

  1. ช่วยวิเคราะห์การตลาด Google market finder จะช่วยเรื่องการกำหนดกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีแนวโน้มว่าจะสนใจในผลิตภัณฑ์ สินค้าหรือการบริการในธุรกิจของคุณ โดย Google market finder เป็นผลิตภัณฑ์สินค้าบริการในหมวดธุรกิจคล้ายกับ Google my business ที่ช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์จากตำแหน่งอื่นบนโลก
  2. วางแผนการทำงาน เมื่อคุณได้รู้จักกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีแนวโน้มว่าจะกลายมาเป็นลูกค้าของธุรกิจ Google market finder จะทำการวางแผนการทำงานให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่การแปลข้อมูลธุรกิจ สินค้าและบริการที่มีอยู่ในเว็บไซต์ การชำระเงิน การบริการหลังการขาย กฎหมายและการขนส่ง เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถก้าวต่อไปในตลาดที่มีกลุ่มเป้าหมายใหม่รออยู่
  3. พัฒนากลยุทธ์การตลาด เมื่อทำตามแผนไปสักระยะ Google market finder จะพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพทางการตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ การวัดผลและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดมาปรับกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขั้นตอนในการใช้งาน Google market finder

สำหรับผู้ที่สนใจใช้งาน Google market finder เพียงคลิกลิงก์

https://marketfinder.thinkwithgoogle.com/intl/en_gb/onboarding_select/

เพื่อเข้าสู่หน้าเริ่มต้น เมื่อเข้าสู่หน้าเพจดังกล่าวจะแสดงหน้าต่าง 2 ช่อง คือ

  1. Test your export readiness สำหรับหน้านี้จะเป็นการประเมินข้อมูลบนเว็บไซต์เบื้องต้น โดยเราต้องใส่ URL ของเว็บไซต์เราลงไป จากนั้นระบบจะถามเกี่ยวกับบัญชี Google Ads หรือ Google Analytics ให้ลงชื่อเข้าใช้ให้เรียบร้อย หากไม่มีบัญชีสามารถกดคำว่า “Continue without signing in” เพื่อดำเนินการต่อโดยไม่ลงทะเบียน ขั้นตอนต่อมาระบบจะทำการถามข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของธุรกิจในปัจจุบัน เมื่อตอบคำถามเสร็จเรียบร้อยระบบจะประเมินเปอร์เซ็นต์ความพร้อมในการขยายธุรกิจไปยังตลาดอื่นบนโลก
    Dive into new market เป็นขั้นตอนต่อจากการทำประเมินเรียบร้อยแล้วและต้องการขยายโอกาสทางธุรกิจในประเทศอื่นต่อไป
  2. โดยส่วนตัวคิดว่า Google market finder เหมาะสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในประเทศไทยและต้องการสร้างความก้าวหน้าให้กับธุรกิจ การใช้ Google market finder แล้วปรับแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จง่ายมากขึ้น ผู้ประกอบการ SMEs หรือธุรกิจท้องถิ่นควรให้ความสำคัญและทำความเข้าใจการใช้ Google market finder เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างกระแสเงินสดเข้ากระเป๋าเพิ่มขึ้นได้